กศน.ตำบลเนินมะกอก หมู่ 12 บ้านสายหกพัฒนา ต.เนินมะกอก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ 60130 056-431504 094-0014936 08.30 น. - 16.30 น.
ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

128557677 216746703237345 8173356735280948121 n

นางสาวรัตติกาล  ต้านทาน

ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

 เบอร์โทร 094-0014936

173015811 295761035263297 1389067186681539045 n 

นางสาวกานต์พิชชา  ทัพน้อย

ตำแหน่ง ครูอาสา

 เบอร์โทร 

 

แพลตฟอร์ม กศน.นครสวรรค์

จำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์
110304
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
สัปดาห์ที่แล้ว
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ผู้เข้าชมทั้งหมด
55
73
691
107926
2085
3608
110304

Your IP: 192.168.1.1
2025-04-10 17:44

5 วิธีเอาชนะอาการท้องผูก

อาการแบบไหน
ถึงเรียกว่าท้องผูก?
.
หากเพื่อนๆ รู้สึกว่าการอึเป็นเรื่องยาก นั่งเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงแล้วยังอึไม่ออก อึไม่สุด อึแข็ง อึดอัดแน่นท้อง นี่แหละครับที่เรียกว่า “อาการท้องผูก”
.
แล้วอาการท้องผูกเกิดจากอะไรกันนะ?
จริงๆ ท้องผูกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเลย ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยเกินไป ดื่มน้ำน้อย ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย ชอบอั้นอึ เบ่งอึนานเกินไป เบ่งอึไม่ถูกวิธี การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ หรืออาจจะเป็นเพราะการทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติก็ได้ครับ
.
แต่ท้องผูกได้ มันก็แก้ให้หายได้!
กว่า 50% ของคนที่ท้องผูกสามารถหายได้เพราะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตครับ เช่น หันมากินอาหารไฟเบอร์สูงให้มากขึ้น ดื่มน้ำเยอะๆ หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะทำตาม 5 วิธีต่อไปนี้ที่ผมรวบรวมมาฝากก็ได้ครับ
.
1. ดื่มน้ำเยอะๆ วันละประมาณ 2 ลิตร
เพื่อให้อึไม่แข็งเกินไป เวลาขับถ่ายก็จะง่ายขึ้นครับ
2. กินอาหารไฟเบอร์สูงบ่อยๆ
เช่น ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อึได้ง่ายขึ้น
3. กินมื้อเช้าเป็นประจำ
เพื่อกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้ทำงาน พอเรากินอาหารเข้าไป ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายก็จะเริ่มทำงาน เราก็จะอยากอึมากขึ้นนั่นเอง
4. ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวบ่อยๆ
เพื่อให้กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ ลำไส้จะเคลื่อนไหวดีขึ้น แล้วอึก็จะเดินทางง่ายขึ้นด้วย
5. ห้ามอั้นอึเด็ดขาด!
จะปวดมากปวดน้อยก็ควรไปอึ หรือฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาได้ก็ยิ่งดี
.
อาการท้องผูกเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ หรือเพื่อนๆ ที่เป็นอยู่ก็บรรเทาอาการได้ครับ แต่จะต้องทำตามทั้ง 5 วิธีที่ผมนำมาบอกอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะปรึกษาคุณหมอเพื่อรับยาและคำปรึกษาร่วมด้วยก็ดีครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีอาการท้องผูกเรื้อรังก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้คุณหมอลองตรวจดูหน่อยดีกว่า ว่าที่เราท้องผูกนั้นเป็นแค่ท้องผูกทั่วไปหรืออาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ลำไส้อักเสบหรือเปล่า ตรวจก่อนก็รับมือได้ก่อน อย่าทิ้งไว้นานเพื่อสุขภาพของเพื่อนๆ เองนะครับ
อ้างอิง:

2. https://bit.ly/3ChIoaC

271766673 2996074193974739 6175538316400111856 n

271755650 2996074813974677 6242380780095792059 n

271713545 2996074723974686 883149688359784568 n

271693213 2996074437308048 337349669470846326 n

271703191 2996074370641388 660721087620887386 n

271667480 2996074870641338 4017213538730539247 n

ยิ่งโลกเราไปไกลมากเท่าไร

โรคทางจิตเวชก็ยิ่งใกล้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
.
ก่อนที่เพื่อนๆ จะปล่อยให้ปัญหาสุขภาพจิตมาบั่นทอนคุณภาพชีวิตโดยไม่รู้ตัว เราลองมาเช็กตัวเองกันดูก่อนดีกว่าครับ ว่ามีสัญญาณของโรคเหล่านี้กันหรือเปล่า และถ้ามี การปรึกษาจิตแพทย์หรือการพูดคุยกับใครสักคนก็เป็นตัวช่วยที่ดี
.
โรคจิตเวชไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะสามารถรักษาให้หายได้เหมือนโรคทั่วไป ขอแค่เพื่อนๆ อย่าปล่อยไว้นาน รีบรักษาเพื่อที่จะได้กลับมามีความสุขนะครับ ด้วยความห่วงใยครับผม
ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจลืมป่วย

246131550 2935000470082112 7360454634108679371 n

แค่กินข้าวกล้องก็แข็งแรงกว่า
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
คำตอบอยู่ในบทความนี้แล้วครับ


อย่างแรกเลย ข้าวขาวที่เรากินกันทุกวันได้ผ่านกระบวนการขัดสีหลายครั้งจนทำให้ข้าวกลายเป็นสีขาว โปรตีนและวิตามินจากข้าวก็เลยหายไปด้วยนั่นเองครับ ทำให้เหลือแต่คาร์โบไฮเดรต เราจึงไม่ได้รับสารอาหารจากข้าวขาวเท่าที่ควร


ในขณะที่ข้าวกล้อง คือข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี สารอาหารต่างๆ จึงยังอยู่ในข้าวครบถ้วนกว่า ในข้าวกล้องจะมีทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามินบี แมงกานีส แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กและแร่ธาตุอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน เมื่อมีสารอาหารเยอะขนาดนี้ แน่นอนครับว่ากินเข้าไปแล้วได้รับประโยชน์เต็มๆ
ซึ่งประโยชน์หลักๆ ของข้าวกล้องก็มีตามนี้ครับ


🍚 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน

ในข้าวกล้องมีไฟเบอร์สูงมากกว่าข้าวขาว 5-7 เท่า ซึ่งไฟเบอร์จะช่วยขับเอาน้ำตาลและน้ำมันส่วนเกินในร่างกายออกมา ทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดคงที่ อินซูลินก็ทำงานปกติ โอกาสการเกิดเบาหวานจึงน้อยลงไปด้วยครับ แถมยังมีผลการทดลองที่ให้ผู้ป่วยซึ่งไม่เป็นโรคเบาหวาน ลองกินข้าวกล้องและข้าวขาวในปริมาณที่เท่าๆ กัน ผลสรุปว่าคนที่กินข้าวกล้องมีโอกาสเป็นเบาหวานลดลงถึง 16% เลยทีเดียว


🍚 ช่วยลดความอ้วน

อย่างที่บอกไปครับว่าข้าวกล้องมีไฟเบอร์สูงทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น แถมยังย่อยยากและดูดซึมได้ช้ากว่าข้าวขาว ทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมาช้าๆ และดึงเอาไขมันมาใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติครับ จึงทำให้อิ่มนานและไม่เพิ่มระดับน้ำตาลและไขมันในร่างกาย


🍚 ช่วยลดโอกาสการเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจ

เมื่อข้าวกล้องช่วยควบคุมน้ำหนักได้ จึงช่วยลดการเกิดโรคที่มาจากความอ้วนไปด้วยครับ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่จากผลการศึกษาก็ได้บอกเพิ่มเติมว่า ถึงข้าวกล้องจะลดเปอร์เซ็นต์ของโรคนี้ได้ แต่ก็ต้องกินข้าวกล้องควบคู่กับอาหารที่มีประโยชน์ด้วยนะครับ


🍚 ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้

อาหารไฟเบอร์ต่ำและมีไขมันสูงล้วนเป็นสาเหตุของมะเร็งลำไส้ครับ แต่ข้าวกล้องมีไฟเบอร์สูงแต่ไขมันต่ำจึงส่งผลดีต่อระบบขับถ่ายและการทำงานของลำไส้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้หรือติ่งเนื้อในลำไส้ลดลงมากถึง 40%เลยครับ


คราวนี้เพื่อนๆ ก็คงเข้าใจมากขึ้นแล้ว ว่าที่เขาบอกกันว่าข้าวกล้องมีประโยชน์นั้นมีประโยชน์ยังไงบ้าง ใครที่อยากดูแลสุขภาพ ต้องการลดน้ำหนักหรืออยากควบคุมน้ำตาล ผมก็ขอแนะนำให้กินข้าวกล้องแทนข้าวขาวครับ


หากคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์
ก็อย่าลืมกดไลก์และกดแชร์
ชวนคนที่เพื่อนๆ รักให้หันมากินข้าวกล้องเพื่อร่างกายที่แข็งแรง
แล้วเราจะสุขภาพดีไปด้วยกันครับ
#ลืมป่วย

#ข้าวกล้อง #โรคหลอดเลือด #โรคมะเร็ง #มะเร็งลำไส้ #ลดความอ้วน 

โรคโกเซ่

เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “โรคโกเช่ร์” ไหมครับ?
แล้วรู้ไหมว่าวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีจะเป็นวันโกเช่ร์โลก?
ถ้าไม่เคย เรามาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กัน
เพื่อจะได้รู้เท่าทันโรคนี้ครับ


“โรคโกเช่ร์” เป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งเกิดจากยีนที่มีความผิดปกติ และจะอยู่ในโรคกลุ่มพันธุกรรมแอลเอสดี ทำให้ร่างกายขาดเอนไซม์สำคัญตัวหนึ่งไป ร่างกายจึงไม่สามารถกำจัดสารประกอบไขมันเชิงซ้อนในเซลล์ชนิดหนึ่งได้ สารนี้ก็เลยสะสมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีรูปร่างผิดปกติ แล้วเซลล์เหล่านี้ก็จะไปรวมตัวกันที่ม้าม ตับ หรือไขกระดูกนั่นเองครับ


ที่น่ากังวลก็คือ โรคนี้จะเกิดเมื่อพ่อแม่เป็นพาหะทั้งคู่แต่ว่าไม่รู้ตัวมาก่อนเพราะไม่มีอาการ แต่ยีนผิดปกตินี้มันถ่ายทอดไปหาลูกได้ครับ ลูกจึงมีโอกาสเป็นโรคโกเช่ร์ได้มากถึงร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของทุกการตั้งครรภ์เลย


ส่วนสถานการณ์โรคโกเช่ร์ในไทยเรามีโอกาสเกิดขึ้น 1 ใน 100,000 ครับ ถ้าเทียบกับอัตราส่วนประชากรแบบนี้ ก็คาดว่าน่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 700 คนแล้ว เรียกได้ว่าเป็นโรคหายาก แต่! หายากไม่ได้แปลว่ามันไม่มีจริงนะครับ เพราะตอนนี้มีการพบผู้ป่วยโรคโกเชร์ในไทยแบบชัดเจนกว่า 35 คนแล้ว แล้วก็น่าจะมีผู้ป่วยอีกหลายๆ คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นด้วย


คราวนี้เรามาดูกันครับ ว่าทำไมโรคโกเช่ร์ที่หายากนี้ มันถึงได้น่ากลัวและทำไมเพื่อนๆ ถึงควรจะรู้จักไว้


อย่างแรกเลยครับ โรคโกเช่ร์จะแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ

1. ชนิดที่ 1 ไม่มีอาการทางระบบประสาท
2. ชนิดที่ 2 มีอาการทางระบบประสาทเฉียบพลัน
3. ชนิดที่ 3 มีอาการทางระบบประสาทแบบค่อยเป็นค่อยไป


โดยในชนิดที่ 1 จะทำให้ตับโต ม้ามโต ซีด ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหักง่าย ช้ำหรือเลือดออกง่าย ถ้ามีอาการรุนแรงมากก็จะแสดงอาการตั้งแต่อายุ 1 ปีเลยครับ และถ้าไม่ได้รับการรักษา ก็อาจจะเสียชีวิตก่อนอายุ 10-30 ปีเสียอีก แต่ถ้าอาการไม่รุนแรงมากก็อาจจะมีอายุเหมือนคนทั่วไปครับผม


ส่วนชนิดที่ 2 และ 3 ก็มีอาการเหมือนกับชนิดที่ 1 แต่จะมีอาการทางระบบประสาทเข้ามาด้วย เช่น ชัก ตาเหล่ หรือพัฒนาการช้า ซึ่งโรคโกเช่ร์ชนิดที่ 2 อาจทำให้เสียชีวิตก่อนอายุ 3 ปี และโรคโกเช่ร์ชนิดที่ 3 ที่พบได้บ่อยในเด็กอาจทำให้เสียชีวิตก่อน 30 ปี


ส่วนความน่ากลัวของโรคโกเช่ร์อย่างที่สองก็คือ เรามีหมอที่เข้าใจอาการของโรคและวินิจฉัยอย่างแม่นยำ “ได้อย่างจำกัด”


หมายความว่า ต่อให้เพื่อนๆ เป็นแล้วไปหาหมอ ก็อาจจะตรวจไม่พบและโรคก็จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลนี้ เพื่อนๆ จึงควรรู้จักกับโรคโกเช่ร์ไว้ เพื่อที่จะได้เข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็ว หมายความว่าต่อให้หมอคนแรกตรวจไม่เจอ แต่ถ้าเพื่อนๆ ตระหนักรู้ถึงโรคนี้ การเข้ารับการตรวจจนพบโรค ก็จะช่วยให้เรารับมือกับโรคได้ไวขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเองครับ


ที่สำคัญ โรคโกเช่ร์เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อนๆ จึงควรสังเกตคนในครอบครัวโดยเฉพาะลูกหลานว่าพวกเขามีอาการท้องโต มีภาวะซีด เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกหรือว่ามีพัฒนาการช้าไหม เพื่อที่จะได้รีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีนะครับ

สนับสนุนข้อมูลโดย: มูลนิธิโรคพันธุกรรมแอลเอสดี
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.lsdthailand.com/lsd/index.php 

244283348 2929796973935795 846800206320546264 n

ที่คอแห้งบ่อยๆ
เป็นเพราะหิวน้ำ
หรือว่าเป็นสัญญาณอะไรกันแน่?


สาเหตุของอาการคอแห้งมีอยู่ด้วยกันมากมายเลยครับ อย่างที่เราคุ้นกันดีก็คงจะเป็นอาการคอแห้งที่เกิดจากไข้ขึ้น นอนกรนหรือนอนอ้าปากมาตลอดทั้งคืน ดื่มน้ำไม่เพียงพอ หรือแม้แต่ยาบางตัวอย่างยาแก้เมารถก็ทำให้คอแห้งได้เหมือนกัน แต่อาการคอแห้งพวกนี้ก็ไม่น่ากังวลเท่าไร เพราะไม่นานมันก็หายไป


แต่บางคนกลับคอแห้งนานมากกกกกกกกกกกกกกก นานจนงงว่าตัวเองไปทำอะไรมา ซึ่งสาเหตุที่อาจทำให้เพื่อนๆ คอแห้งมีดังต่อไปนี้ครับ

1. ร่างกายกำลังขาดน้ำ

เมื่อร่างกายขาดน้ำอาการแรกเริ่มก็คือคอแห้งนี่แหละครับ แต่ยังไม่พอ เพราะเพื่อนๆ อาจจะมีฉี่เป็นสีเหลืองเข้ม ฉี่ไม่บ่อย ปากแห้ง อ่อนเพลีย และรู้สึกล้าร่วมด้วย หากปล่อยทิ้งไว้นานจะส่งผลกระทบต่อไต หัวใจ สมอง ทางเดินอาหารและกล้ามเนื้อได้ ถ้าเพื่อนๆ มีอาการตามนี้ก็จะต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นอย่างน้อยวันละ 8 แก้วครับ แนะนำให้เป็นน้ำเปล่านะครับ เพราะชา กาแฟ หรือน้ำอัดลมไม่ได้ช่วยให้ภาวะนี้ดีขึ้นเลย.

2. กรดไหลย้อน

ใครที่มีปัญหาคอแห้งบ่อยๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณของกรดไหลย้อนก็ได้ครับ เพราะภาวะนี้จะทำให้กรดที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนกลับขึ้นมาที่ลิ้นปี่หรือที่คอจึงทำให้คอแห้ง และอาจมีอาการอื่นๆ ด้วย เช่น เรอเปรี้ยว แน่นหรือแสบร้อนหน้าอก หรือปากขม คนที่เป็นกรดไหลย้อนจะต้องปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต โดยเฉพาะไม่กินแล้วนอนทันที งดสูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักตัว และเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด รวมทั้งช็อกโกแลตและนมด้วยครับ


3. โรคเบาหวาน

คนที่เป็นโรคเบาหวานก็มีอาการเตือนเหมือนกันครับ และคอแห้งก็เป็นหนึ่งในสัญญาณเหล่านั้น นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานยังอาจปากแห้ง มีกลิ่นปาก รู้สึกเหนียวหรือแห้งในปากได้อีกด้วย เพราะโรคเบาหวานจะทำให้มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง จึงส่งผลต่อการผลิตน้ำลายและยังทำให้ร่างกายพยายามขับน้ำตาลออกทางของเสีย ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงฉี่บ่อย ปากแห้งและคอแห้งนั่นเอง


4. คออักเสบ

คออักเสบเกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียในลำคอ ทำให้เพื่อนๆ รู้สึกเจ็บคอและคอแห้งในเวลาเดียวกัน ใครที่คออักเสบก็จะเห็นอาการได้อย่างชัดเจนเลยครับ เพราะจะมีการกลืนลำบาก คอบวม เป็นไข้ คลื่นไส้อาเจียน และปวดตามเนื้อตัวด้วยครับ โดยปัจจัยเสียงที่จะทำให้คออักเสบก็คือ อุณหภูมิ การสูบบุหรี่ เป็นภูมิแพ้ หรือเป็นไข้หวัด

5. กินโซเดียมมากเกินไป

เพื่อนๆ เคยรู้สึกคอแห้งมากๆ หลังกินอาหารเข้าไปไหมครับ หากเคยล่ะก็ สันนิษฐานได้เลยว่าร้านนั้นใส่ผงชูรสในปริมาณมาก แถมการคอแห้งเพราะโซเดียมนั้นไม่ได้หายง่ายๆ ด้วยการดื่มน้ำด้วยนะครับ อาจจะต้องใช้เวลากว่าครึ่งวัน อาการคอแห้งถึงหายไปเอง แต่โวเดียมไม่ได้หมายถึงผงชูรสเพียงอย่างเดียวนะครับ แต่หมายถึงเกลือ ซีอิ๊ว หรือซอสปรุงรสต่างๆ ดังนั้น ก่อนที่เพื่อนๆ จะกินอะไร ก็ลองดูส่วนผสมให้ดี หรือบอกแม่ค้าเขาหน่อยดีกว่าว่าไม่เอาผงชูรสครับ


เห็นแล้วใช่ไหมครับว่า แค่คอแห้งไม่ได้หมายความจะเป็นแค่หวัดเสมอไป ถ้าเพื่อนๆ คอแห้งแล้วมีอาการร่วมด้วยก็แสดงว่าร่างกายกำลังร้องขอความช่วยเหลือแล้วนะครับ อย่าเมินเฉยหรือปล่อยผ่าน ไม่อย่างนั้นโรคที่กำลังจะเกิด อาจจะลุกลามจนสายเกินแก้ได้
#ลืมป่วย

อ้างอิง:
1. https://bit.ly/3daVaen
2. https://bit.ly/2SFEvWW
3. https://bit.ly/3nrBDeJ

หน้าที่ 4 จาก 8