กศน.ตำบลเนินมะกอก หมู่ 12 บ้านสายหกพัฒนา ต.เนินมะกอก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ 60130 056-431504 094-0014936 08.30 น. - 16.30 น.
ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

128557677 216746703237345 8173356735280948121 n

นางสาวรัตติกาล  ต้านทาน

ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

 เบอร์โทร 094-0014936

173015811 295761035263297 1389067186681539045 n 

นางสาวกานต์พิชชา  ทัพน้อย

ตำแหน่ง ครูอาสา

 เบอร์โทร 

 

แพลตฟอร์ม กศน.นครสวรรค์

จำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์
126492
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
สัปดาห์ที่แล้ว
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ผู้เข้าชมทั้งหมด
65
107
307
125720
713
2313
126492

Your IP: 192.168.1.1
2025-09-10 10:04

317693323 193062166572609 7712959954487091754 n

กรดไหลย้อน คือ ภาวะที่น้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดในกระเพาะไหลย้อนกลับขึ้นมาในหลอดอาการ ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก จุดเสียดบริเวณลิ้นปี่ เรอเปรี้ยว และอาจคลื่นไส้อาเจียนได้ อาการกรดไหลย้อนนี้หากเป็นต่อเนื่องกันมากๆ จะไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการอักเสบและเกิดแผลที่หลอดอาหาร อาจลุกลามจนกลายเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารได้เลยค่ะ
หากคุณมีอาการดังกล่าว วิธีป้องกันที่คุณสามารถทำได้เองนั่น เราเอามาฝากกันตรงนี้แล้วค่ะ ไปดู 10 ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันกรดไหลย้อนกัน
 
1️. อย่ากินจนจุก ส่วนปลายของหลอดอาหารจะมีกล้ามเนื้อหูรูดทำหน้าที่กันไม่ให้อาหารในกระเพาะไหลย้อนกลับสู่หลอดอาหาร การกินจุจะทำให้แรงดันในกระเพาะมีมากเกินไป และน้ำย่อยไหลย้อนออกจากหูรูดส่วนล่างนี้ได้ง่ายขึ้น
 
2️. ควบคุมน้ำหนัก คนที่มีไขมันหน้าท้องมากเกินไปมีโอกาสที่ความดันในช่องท้องจะสูงขึ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมคนอ้วนจึงมีโอกาสเป็นกรดไหลย้อนได้มากกว่า
 
3️. อย่าดื่มกาแฟมากเกินไป การศึกษาแสดงให้เห็นว่า กาแฟทำให้กล้ามเนื้อหูรูดส่วงล่างของหลอดอาหารอ่อนแอลง ทำให้กรดจากกระเพาะไหลย้อนสู่หลอดอาหารได้ง่ายขึ้น และมันยังเพิ่มระยะเวลาของการไหลย้อนขึ้นด้วยค่ะ
 
4️. ลดปริมาณแป้ง คาร์โบไฮเดรตย่อยยากบางชนิดเป็นผลให้แบคทีเรียในท้องเติบโตมากเกินไป ส่งผลให้เกิดอาหารท้องอืดและแก๊สในกระเพาะมีมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดกรดไหลย้อนก็มากตามไปด้วย
 
5️. จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มีผลทำให้กรดในกระเพาะสูงขึ้น งานวิจัยชี้ว่า การดื่มไวน์และเบียร์ส่งผลให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นค่ะ
 
6️. งดทานหัวหอมดิบๆ หัวหอมดิบจะไปเพิ่มอาการเสียดท้องอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งยังทำให้เรอมากขึ้นเนื่องจากเส้นใยที่จะไปทำปฏิกิริยาหมักอยู่ในท้อง ทั้งยังทำให้เยื่อบุหลอดอาหารระคายเคืองด้วย
7️. ลดน้ำอัดลม น้ำที่อัดลมเข้าไปจะไปเพิ่มแรงดันให้กระเพาะ ทำให้เราเรอบ่อยขึ้น กล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างหลอดอาหารอ่อนแอลง เละเพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอีกด้วย
 
8️. นอนหมอนสูง หากคุณเริ่มมีอาหารกรดไหลย้อน แนะนำให้ลองนอนหมอนที่สูงขึ้นเพื่อห้องกันให้กรดไหลย้อนขึ้นสู่หลอดอาหารได้ยากขึ้นค่ะ
 
9️. งดทานอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เป็นช่วงเวลาที่ไม่ควรเติมอะไรเข้าท้องอีกแล้วค่ะ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำย่อยในระหว่างที่เรานอน ซึ่งเป็นท่าที่กรดไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย
 
10. อย่านอนตะแคงขวา แม้จะยังไม่ชัดเจน แต่ด้วยเหตุผลทางกายวิภาคของมนุษย์ หลอดอาหารของเราเชื่อมกับด้านขวาของกระเพาะอาหาร แปลว่าหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างจะอยู่ด้านบนเมื่อเรานอนตะแคงซ้าย เมื่อนอนตะแคงขวา ส่วนต่อของหลอดอาหารก็จะลงไปอยู่ด้านล่าง เป็นผลให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นนั่นเองค่ะ
 
นอกจากปรับพฤติกรรมตามนี้แล้ว ให้หมั่นดูแลสุขภาพ งดรับสารพิษ เช่น แอลกอฮอล์และบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ดูแลจิตใจให้ดี เพราะความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุของโรคกรดไหลย้อนนะคะ ทำตามนี้ ให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัวเองจนหายเป็นปกติ
 
อ้างอิงจากเพจ อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ

311886084 3200516596863830 8450655725911926224 n

ต้นเหตุของโรคบางโรค เกิดขึ้นจากการดื่มน้ำไม่พอ ห้ามคิดว่าไม่เป็นไรเชียวนะครับ เพราะการดื่มน้ำน้อยไป จะมี 6 โรคนี้ถามหาแน่นอน

วันนี้เราได้รวบรวม 6 โรคแย่ๆที่จะเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนๆ ละเลยการดื่มน้ำ จะมีโรคอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ

1. โรคอ้วน
อย่าเข้าใจผิดว่า การดื่มน้ำน้อยจะทำให้น้ำหนักลง เพราะจริงๆแล้วน้ำมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการขับของเสียออกจากร่างกาย หากดื่มน้ำน้อย ของเสียจะถูกกำจัดน้อยลงไปด้วย

นอกจากนี้น้ำยังช่วยอิ่มท้อง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลดน้ำหนัก คนที่ดื่มน้ำน้อยจึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้นั่นเอง

2. โรคท้องผูกหรือโรคริดสีดวงทวาร
ปัญหาการดื่มน้ำน้อยทำให้ลำไส้ทำงานหนัก และทำให้อุจาระแข็งและแห้ง ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้การขับถ่ายเป็นไปได้ยาก หรือต้องใช้เวลาเบ่งนานกว่าจะขับออกมาได้

การดื่มน่้ำน้อยไป ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก และอาจพัฒนาเป็นโรคริดสีดวงทวารได้ หาไม่อยากเกิดโรคนี้ การทานอาหารที่มีไฟเบอรรสูงและดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

3. โรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ
สิ่งแรกๆที่สังเกตได้ เมื่อดื่มน้ำน้อย ปัสสาวะจะมีสีที่ข้นขึ้น นั้นเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า ปริมาณน้ำที่ได้รับไม่เพียงพอที่ร่างกายต้องการ

และถ้าปล่อยไว้นานๆ ไตจะเริ่มทำงานหนักกว่าเดิม อีกทั้งเพิ่มโอกาศการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะส่วนล่างได้ง่าย จึงเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบหรือโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้นเอง

4. โรคความดันโลหิต
การดื่มน้ำน้อยจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดอย่างมาก ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานแย่ลง เลือดข้น และส่งผลต่อเนื่องไปถึงความดันโลหิตสูง และถ้าความดันโลหิตสูง ก็จะนำมาโรคอื่นๆตามมาอีกมากมาน

ดังนั้น ถ้าอยากมีสุขภาพที่ดี แค่ดื่มน้ำให้เพียงพอก็เป็นวิธีง่ายๆที่ดีต่อสุขภาพ

5. โรคสมองเสื่อม
การที่เพื่อนๆดื่มน้ำน้อย จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคสมองเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ เนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญที่อยู่ในสมอง อาการแรกที่จะปรากฏก็คือ ไม่รู้สึกสดชื้น ไม่กระฉับกระเฉง

ยิ่งนานวันเข้าจะทำให้สมองเสื่อมลงเรื่อยๆ การขนาดน้ำแค่เพียง 2% ก็อาจทำให้เพื่อนๆ สูญเสียความจำในระยะสั้นหรือมีปัญหากับการคำนวนตัวเลข และแน่นอนว่าการขาดน้ำจะทำให้เซลล์สมองเสียหาย หดตัว และเกิดสมองเสื่อมได้ในที่สุด

6. โรคข้อและกระดูก
สารน้ำภายในแกนกลางของหมอนรองกระดูกมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 80% หากหมอนรองกระดูกแห้ง อาจมีผลทำให้ข้อต่อบาดเจ็บ หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าเดิม

หากเพื่อนๆไม่อยากพบเจอปัญหาเกี่ยวกับข้อและกระดูก อย่าลืมดื่มน้ำให้เพียงพอด้วยนะคะ เพราะสิ่งที่ส่งผลสำคัญต่อการทำงานของข้อต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะเวลาที่ต้องออกแรงเดินหรือยกของนั้นเอง

เราเชื้อว่า ไม่มีใครอยากเป็นโรคเหล่านี้กันอยู่แล้ว และเพื่อนๆก็สามารถป้องกันตัวเองได้เพียงดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าเดิม การเติมน้ำให้ร่างกายในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยลดโอกาศเกิดโรคได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการมีสุขภาพที่แข็งแรงและลดโอกาศป่วยให้น้อยลง

ยังมีความรู้เกี่ยวกับสุขภาพด้านอื่นๆอีกมายมายที่ผมพร้อมแบ่งปันให้เพื่อนๆได้รู้ และดูแลตัวเองไปด้วยกันค่ะ 

อ้างอิง เพจลืมป่วย

 

ภาวะสมองล้า 1

 

ภาวะสมองล้า คือ ภาวะเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้งานสมองอย่างหนัก ทำให้ความจำและประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเป็นอย่างมากนั่นเองครับ และเมื่อสมองล้าแล้วก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย เช่น เกิดสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร

ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะสมองล้าได้

- เร่งทำงานให้เสร็จทันเวลา ต้องใช้สมองหนักมากหรืออาจต้องอดนอนด้วย
- พักผ่อนน้อย นอนวันละไม่เกิน 6 ชั่วโมงเท่านั้น
- ทำงานหรือนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป
- มีความเครียดสะสม ไมค่อยผ่อนคลายความเครียด
- ขาดการบำรุงสมอง เช่น ร่างกายขาดวิตามินบี
- ฮอร์โมนไม่สมดุล
- ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน 

สมองล้า2

สมองล้า3

สมองล้า4

สมองล้า 5

สมองล้า7

สมองล้า8

เบาหวาน

เป็นเบาหวานต้องตัดขา เป็นเบาหวานแล้วตาบอด...ความน่ากลัวของโรคเบาหวานทำให้หลายคนพยายามดูแลตัวเองอย่างดี แต่ในขณะที่บางคนอาจจะไม่เคยสนใจเรื่องราวเหล่านี้เลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองใกล้เป็นเบาหวานแล้วหรือไม่ ?

โรคเบาหวาน คือ โรคที่ร่างกายของเรามีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเกิดความผิดปกติในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน และระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นนี้ จะส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ รวมไปถึงเส้นประสาทด้วย

ผมอยากให้เพื่อนๆ หันมาสนใจเรื่องนี้กันให้มากขึ้นครับ จึงอยากจะมาแนะนำสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่า #เรากำลังจะเป็นเบาหวาน มาดูกันหน่อยซิครับว่า...เรากำลังเสี่ยงแค่ไหน ?

#1ปัสสาวะบ่อย
เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ทำให้เราปวดฉี่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

#2กระหายน้ำบ่อย
เมื่อฉี่บ่อย ร่างกายก็ต้องการน้ำเพื่อทดแทนของเหลวที่ฉี่ออกไป ทำให้รู้สึกหิวน้ำบ่อยตามไปด้วย

#3หิวบ่อย
เมื่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลได้ดีเหมือนเดิม ร่างกายก็จะไม่ได้รับพลังงานเต็มที่ ทำให้เกิดความหิวอยู่ตลอดเวลา

#4ชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า
อาการชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า เป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทเสียหาย เนื่องจากระดับน้ำตาลสูง ซึ่งบางคนอาจจะเกิดสัญญาณนี้ตั้งแต่แรก แต่บางคนอาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่เป็นเบาหวานมาหลายปีแล้ว

#5แผลหายช้า
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้หลอดเลือดแคบลง เลือดไหลช้าลง ทำให้สารอาหารและออกซิเจนเดินทางไปถึงบาดแผลช้าลงด้วย แผลจึงหายช้า

#6ตาพร่ามัว
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างกะทันหัน จะส่งผลต่อหลอดเลือดขนาดเล็กในดวงตา ทำให้ตาเบลอได้ในบางเวลา

#7ติดเชื้อง่าย
คนที่เป็นเบาหวานมักจะติดเชื้อได้บ่อยกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา

#8ผิวหนังคัน
อาการคันที่ผิวหนัง อาจเกิดจากภาวะการติดเชื้อรา ผิวแห้ง หรือการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ซึ่งมักพบเจอที่บริเวณขา

#9ปากแห้ง
อาการนี้เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยในโรคเบาหวาน ทำให้มีปัญหาในการเคี้ยว กลืน หรือพูด รวมถึงการติดเชื้อในช่องปาก

จะเห็นได้ว่าโรคเบาหวานมีสัญญาณเตือนที่หลากหลาย ทุกสัญญาณล้วนแต่บ่งบอกให้เพื่อนๆได้มีเวลารู้ตัวก่อน เพื่อที่จะได้หันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น แต่ถ้าเพื่อนๆยังละเลยมัน จะทำให้กลายเป็นปัญหาในระยะยาวอย่างแน่นอน

การรู้ว่าเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่เนิ่นๆ และเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็ว สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ ผมจึงอยากให้เพื่อนๆ ช่วยกันแชร์เรื่องนี้ออกไป จะได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เตือนให้คนอื่นได้ระวังตัวเองให้มากกว่าเดิม และช่วยลดอันตรายจากเบาหวานได้ครับ

อ้างอิง
https://bit.ly/3bbxs54
https://bit.ly/3xFxz0g

ไตวาย

“ไม่เค็ม ไม่อร่อย”
ใครที่คิดแบบนี้ต้องระวัง
เป็นไตวายเรื้อรังนะครับ!

จากข้อมูลการศึกษาของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตมากถึง 8 ล้านคน และยังมีแน้วโน้มว่าจะสูงขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย! แต่ก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้ ผมว่าเราไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันหน่อยดีกว่า

ไตวายเรื้อรัง คือภาวะที่ไตทำงานผิดติ ทำให้ขับของเสีย น้ำ หรือของเหลวส่วนเกินออกมาจากกระแสเลือดได้ไม่หมด สิ่งที่คั่งค้างอยู่นี้จึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นมานั่นเองครับ ซึ่งระยะเวลาที่ทำให้ไตทำงานผิดปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน แล้วไตก็จะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ โรคไตวายเรื้อรังจะไม่แสดงออกในระยะแรกๆ ทำให้หลายๆ คนปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนักและรักษายากขึ้น หรืออาจจะทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้เลย

ในระยะแรกๆ ไตวายเรื้อรังจะไม่แสดงอาการก็จริง แต่เมื่อเข้าระยะท้ายๆ คนที่ป่วยเป็นโรคไตก็อาจจะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อ่อนเพลีย คันตามตัว ปวดเอว ปวดหลัง ฉี่บ่อยตอนกลางคืน หรือว่าเท้าบวม ท้องบวม และประจำเดือนขาด ซึ่งก็จะต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างเร็วที่สุด

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคไตวายก็คือโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง แน่นอนครับว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดสองโรคนี้ก็ไม่ได้ไกลตัวเลย เพราะมันคือ “อาหาร” ที่เรากินเข้าไป พอเกิดโรคขึ้นมาได้โรคหนึ่ง ไตวายเรื้อรังก็เตรียมพร้อมที่จะเล่นงานเพื่อนๆ ได้เหมือนกัน ดังนั้น การใส่ใจกับอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

อย่างที่เรารู้กันว่า ถ้ากินเค็ม ไตก็จะทำงานหนัก ใช่แล้วครับ ยิ่งเค็มเท่าไรไตก็ยิ่งเหนื่อย หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่ากินเค็มหมายถึงเกลือหรือน้ำปลาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ความเค็มที่น่ากลัวมาจากสิ่งที่เรียกว่า “โซเดียม” ครับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา เกลือ ซอสปรุงรส ซอสมะเขือเทศ ผงชูรส เนื้อหมักซอส น้ำจิ้มต่างๆ หรือแม้แต่อาหารแช่แข็งก็มีปริมาณโซเดียมที่สูงมากจนน่าทึ่ง

ปกติคนเราควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาหรือ 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น แต่เพื่อนๆ ลองอ่านฉลากโภชนาการจากซองขนม น้ำอัดลม หรือว่าอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาดูสิครับ ลองคำนวณคร่าวๆ ว่าวันหนึ่งเรากินอะไรเข้าไปบ้าง แล้วเพื่อนๆ ก็จะได้คำตอบว่าทำไมคนไทยถึงเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้

เมื่อรู้แล้วว่าอะไรคือศัตรูของสุขภาพ เพื่อนๆ ก็ควรจะลดปริมาณอาหารเหล่านั้นลงมาบ้างนะครับ ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้ แต่ต้องกินอย่างพอดี ไม่อย่างนั้น อร่อยวันนี้ แต่ไตวายวันหน้ามันก็ไม่คุ้มกันเนอะ
#ลืมป่วย

อ้างอิง:
1. https://mayocl.in/2GjEbL4
2. https://bit.ly/3fyk0If

หน้าที่ 3 จาก 8