กศน.ตำบลเนินมะกอก หมู่ 12 บ้านสายหกพัฒนา ต.เนินมะกอก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ 60130 056-431504 094-0014936 08.30 น. - 16.30 น.
ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

128557677 216746703237345 8173356735280948121 n

นางสาวรัตติกาล  ต้านทาน

ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

 เบอร์โทร 094-0014936

173015811 295761035263297 1389067186681539045 n 

นางสาวกานต์พิชชา  ทัพน้อย

ตำแหน่ง ครูอาสา

 เบอร์โทร 

 

แพลตฟอร์ม กศน.นครสวรรค์

จำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์
074852
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
สัปดาห์ที่แล้ว
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ผู้เข้าชมทั้งหมด
33
73
559
73714
1640
3367
74852

Your IP: 192.168.1.1
2024-05-19 09:01

ไตวาย

“ไม่เค็ม ไม่อร่อย”
ใครที่คิดแบบนี้ต้องระวัง
เป็นไตวายเรื้อรังนะครับ!

จากข้อมูลการศึกษาของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตมากถึง 8 ล้านคน และยังมีแน้วโน้มว่าจะสูงขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย! แต่ก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้ ผมว่าเราไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันหน่อยดีกว่า

ไตวายเรื้อรัง คือภาวะที่ไตทำงานผิดติ ทำให้ขับของเสีย น้ำ หรือของเหลวส่วนเกินออกมาจากกระแสเลือดได้ไม่หมด สิ่งที่คั่งค้างอยู่นี้จึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นมานั่นเองครับ ซึ่งระยะเวลาที่ทำให้ไตทำงานผิดปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน แล้วไตก็จะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ โรคไตวายเรื้อรังจะไม่แสดงออกในระยะแรกๆ ทำให้หลายๆ คนปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนักและรักษายากขึ้น หรืออาจจะทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้เลย

ในระยะแรกๆ ไตวายเรื้อรังจะไม่แสดงอาการก็จริง แต่เมื่อเข้าระยะท้ายๆ คนที่ป่วยเป็นโรคไตก็อาจจะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อ่อนเพลีย คันตามตัว ปวดเอว ปวดหลัง ฉี่บ่อยตอนกลางคืน หรือว่าเท้าบวม ท้องบวม และประจำเดือนขาด ซึ่งก็จะต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างเร็วที่สุด

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคไตวายก็คือโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง แน่นอนครับว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดสองโรคนี้ก็ไม่ได้ไกลตัวเลย เพราะมันคือ “อาหาร” ที่เรากินเข้าไป พอเกิดโรคขึ้นมาได้โรคหนึ่ง ไตวายเรื้อรังก็เตรียมพร้อมที่จะเล่นงานเพื่อนๆ ได้เหมือนกัน ดังนั้น การใส่ใจกับอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

อย่างที่เรารู้กันว่า ถ้ากินเค็ม ไตก็จะทำงานหนัก ใช่แล้วครับ ยิ่งเค็มเท่าไรไตก็ยิ่งเหนื่อย หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่ากินเค็มหมายถึงเกลือหรือน้ำปลาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ความเค็มที่น่ากลัวมาจากสิ่งที่เรียกว่า “โซเดียม” ครับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา เกลือ ซอสปรุงรส ซอสมะเขือเทศ ผงชูรส เนื้อหมักซอส น้ำจิ้มต่างๆ หรือแม้แต่อาหารแช่แข็งก็มีปริมาณโซเดียมที่สูงมากจนน่าทึ่ง

ปกติคนเราควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาหรือ 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น แต่เพื่อนๆ ลองอ่านฉลากโภชนาการจากซองขนม น้ำอัดลม หรือว่าอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาดูสิครับ ลองคำนวณคร่าวๆ ว่าวันหนึ่งเรากินอะไรเข้าไปบ้าง แล้วเพื่อนๆ ก็จะได้คำตอบว่าทำไมคนไทยถึงเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้

เมื่อรู้แล้วว่าอะไรคือศัตรูของสุขภาพ เพื่อนๆ ก็ควรจะลดปริมาณอาหารเหล่านั้นลงมาบ้างนะครับ ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้ แต่ต้องกินอย่างพอดี ไม่อย่างนั้น อร่อยวันนี้ แต่ไตวายวันหน้ามันก็ไม่คุ้มกันเนอะ
#ลืมป่วย

อ้างอิง:
1. https://mayocl.in/2GjEbL4
2. https://bit.ly/3fyk0If

275481116 3035142433401248 2284888817512155409 n

เพื่อนๆ มีอาการชาปลายมือปลายเท้า
รู้สึกเหมือนมดไต่ผิวหนัง ยุบยิบ เจ็บจี๊ดหรือแปลบแบบเข็มตำไหมครับ?
.

นี่อาจเป็นสัญญาณ ..โรคปลายประสาทอักเสบ ที่ห้ามละเลย หรือมองข้าม
.

วันนี้ผมมีความรู้และวิธีเช็กอาการมาฝากทุกคน ตามมาเลยครับ!

ชา1

ก่อนอื่น ผมอยากให้เพื่อนๆ ทำความรู้จักกับวิตามิน B1 B6 และ B12 กันก่อน
.

ที่ต้องพูดถึงวิตามินทั้ง 3 ตัวนี้ก็เป็นเพราะว่าวิตามินเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบประสาท รวมถึงอาการมือเท้าชาก็ด้วย!
.

จริงๆ แล้ววิตามิน B1 B6 และ B12 เป็น 3 ตัวช่วยที่ระบบประสาทขาดไม่ได้ เพราะวิตามินทั้ง 3 มีส่วนสำคัญต่อระบบประสาทแตกต่างกันไป ทำงานร่วมกันจะช่วยกันฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ประสาท เพื่อให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ และหากได้รับในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันหรือรักษาอาการจากโรคปลายประสาทอักเสบได้
.

โดยวิตามิน B1 จะกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและปฏิกิริยาเคมีในการสร้างพลังงานของเส้นประสาท ส่วนวิตามิน B6 จะสร้างสัญญาณประสาทและสารสื่อประสาท และวิตามิน B12 ก็ช่วยฟื้นฟูระบบประสาท เช่น เส้นประสาทและปลอกหุ้มปลายประสาทให้กลับมาทำงานตามปกตินั่นเองครับ
.

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเพื่อนๆ ได้รับวิตามิน B ทั้ง 3 นี้ไม่เพียงพอ?

คำตอบก็คือ เพื่อนๆ จะมีความเสี่ยงเป็น “โรคปลายประสาทอักเสบ” ได้มากขึ้น! 

ชา2

และปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพื่อนๆ เสี่ยงเป็นโรคปลายประสาทอักเสบก็คือภาวะขาดวิตามิน B โดยเฉพาะ B1 B6 และ B12 ที่ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาทนั่นเองครับ หากเพื่อนๆ ได้รับวิตามิน B อย่างเพียงพอ วิตามิน B ทั้ง 3 นี้ก็จะช่วยกันฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ประสาทเพื่อให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ และช่วยรักษาอาการจากโรคปลายประสาทอักเสบได้อีกด้วย
.

ส่วนปัจจัยอื่นๆ ก็อย่างเช่น

- โรคเบาหวาน ที่ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติปลายประสาท เท้าจึงชา อาจนำไปสู่การติดเชื้อจนถึงขั้นต้องตัดเท้า

- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ส่งผลเสียต่อเส้นใยประสาท ซึ่งคนที่ดื่มแอลกอฮอล์กว่าร้อยละ 50 มีปัญหาปลายประสาทอักเสบครับ

- การกดทับที่เส้นประสาท ตรงนี้อาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือการนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ อาจทำให้เส้นประสาทเสียหายได้

ชา3

โรคปลายประสาทอักเสบเกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย ทั้งในด้านการรับความรู้สึก การเคลื่อนไหว และระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา ซึ่งผมจะขอแบ่งอาการเป็น 2 กลุ่มนะครับ นั่นก็คือ

1. กลุ่มที่แสดงอาการมากกว่าปกติ

- มีอาการชา แสบร้อน เจ็บปวด เจ็บเหมือนเข็มตำ เหมือนมีมดไต่ตามผิว โดยเฉพาะตามปลายมือปลายเท้า

- ไวต่อการถูกสัมผัสมากกว่าปกติ

2. กลุ่มแสดงอาการน้อยกว่าปกติ

- รู้สึกชา กล้ามเนื้อส่วนปลายอ่อนแรง มีปัญหาการทรงตัว

- รู้สึกถึงความร้อนและความเย็นน้อยกว่าปกติ 

ชา4

ถ้าเพื่อนๆ สงสัยว่าตัวเองกำลังเป็นโรคปลายประสาทอักเสบอยู่หรือเปล่า ก็ลองเช็กอาการตัวเองได้จากสัญญาณทั้ง 9 ข้อนี้เลยครับ

1. รู้สึกเหมือนถูกมดกัดหรือไต่ตามผิวหนัง

2. รู้สึกเหมือนถูกเข็มตำตามปลายมือปลายเท้า

3. รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกไฟช็อตโดยไม่มีสาเหตุ

4. ทำกิจวัตรประจำวันได้ลำบาก เช่น ติดกระดุม เปิดขวดน้ำ

5. รู้สึกเจ็บปวดมากแม้สัมผัสสิ่งที่อ่อนนุ่ม

6. รู้สึกเหมือนใส่ถุงมือถุงเท้า ทำให้ประสาทสัมผัสหายไปในบางครั้ง

7. รู้สึกว่าการหยิบ จับ หรือคว้าสิ่งของเป็นเรื่องยาก

8. ประเมินอุณหภูมิของสิ่งต่างๆ ด้วยการสัมผัสไม่ค่อยได้

9. กล้ามเนื้อบริเวณมือหรือขาอ่อนแรง รับน้ำหนักไม่ไหว
.

หากเพื่อนๆ มีอาการชาเกิดขึ้นหรือสงสัยว่าจะเป็นปลายประสาทอักเสบจากการคัดกรองด้วยตนเองแล้ว เพื่อนๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไปนะครับ 

ชา5

หรือถ้าเพื่อนๆ มีข้อสงสัย ก็สามารถติดตามและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook “อย่าเฉย เมื่อเกิดอาการชา” คลิกที่ลิงก์นี้ได้เลย (https://www.facebook.com/careyournerve/ )

#อย่าเฉยเมื่อเกิดอาการชา #Careyournerve #vitaminB1B6B12 #NerveHealth

Code: MAT-TH-UNBRANDED-22-000006

271766673 2996074193974739 6175538316400111856 n

271755650 2996074813974677 6242380780095792059 n

271713545 2996074723974686 883149688359784568 n

271693213 2996074437308048 337349669470846326 n

271703191 2996074370641388 660721087620887386 n

271667480 2996074870641338 4017213538730539247 n

ยิ่งโลกเราไปไกลมากเท่าไร

โรคทางจิตเวชก็ยิ่งใกล้ตัวเรามากขึ้นเท่านั้น
.
ก่อนที่เพื่อนๆ จะปล่อยให้ปัญหาสุขภาพจิตมาบั่นทอนคุณภาพชีวิตโดยไม่รู้ตัว เราลองมาเช็กตัวเองกันดูก่อนดีกว่าครับ ว่ามีสัญญาณของโรคเหล่านี้กันหรือเปล่า และถ้ามี การปรึกษาจิตแพทย์หรือการพูดคุยกับใครสักคนก็เป็นตัวช่วยที่ดี
.
โรคจิตเวชไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เพราะสามารถรักษาให้หายได้เหมือนโรคทั่วไป ขอแค่เพื่อนๆ อย่าปล่อยไว้นาน รีบรักษาเพื่อที่จะได้กลับมามีความสุขนะครับ ด้วยความห่วงใยครับผม
ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจลืมป่วย

5 วิธีเอาชนะอาการท้องผูก

อาการแบบไหน
ถึงเรียกว่าท้องผูก?
.
หากเพื่อนๆ รู้สึกว่าการอึเป็นเรื่องยาก นั่งเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงแล้วยังอึไม่ออก อึไม่สุด อึแข็ง อึดอัดแน่นท้อง นี่แหละครับที่เรียกว่า “อาการท้องผูก”
.
แล้วอาการท้องผูกเกิดจากอะไรกันนะ?
จริงๆ ท้องผูกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเลย ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยเกินไป ดื่มน้ำน้อย ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย ชอบอั้นอึ เบ่งอึนานเกินไป เบ่งอึไม่ถูกวิธี การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ หรืออาจจะเป็นเพราะการทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติก็ได้ครับ
.
แต่ท้องผูกได้ มันก็แก้ให้หายได้!
กว่า 50% ของคนที่ท้องผูกสามารถหายได้เพราะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตครับ เช่น หันมากินอาหารไฟเบอร์สูงให้มากขึ้น ดื่มน้ำเยอะๆ หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะทำตาม 5 วิธีต่อไปนี้ที่ผมรวบรวมมาฝากก็ได้ครับ
.
1. ดื่มน้ำเยอะๆ วันละประมาณ 2 ลิตร
เพื่อให้อึไม่แข็งเกินไป เวลาขับถ่ายก็จะง่ายขึ้นครับ
2. กินอาหารไฟเบอร์สูงบ่อยๆ
เช่น ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อึได้ง่ายขึ้น
3. กินมื้อเช้าเป็นประจำ
เพื่อกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้ทำงาน พอเรากินอาหารเข้าไป ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายก็จะเริ่มทำงาน เราก็จะอยากอึมากขึ้นนั่นเอง
4. ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวบ่อยๆ
เพื่อให้กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ ลำไส้จะเคลื่อนไหวดีขึ้น แล้วอึก็จะเดินทางง่ายขึ้นด้วย
5. ห้ามอั้นอึเด็ดขาด!
จะปวดมากปวดน้อยก็ควรไปอึ หรือฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาได้ก็ยิ่งดี
.
อาการท้องผูกเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ หรือเพื่อนๆ ที่เป็นอยู่ก็บรรเทาอาการได้ครับ แต่จะต้องทำตามทั้ง 5 วิธีที่ผมนำมาบอกอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะปรึกษาคุณหมอเพื่อรับยาและคำปรึกษาร่วมด้วยก็ดีครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีอาการท้องผูกเรื้อรังก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้คุณหมอลองตรวจดูหน่อยดีกว่า ว่าที่เราท้องผูกนั้นเป็นแค่ท้องผูกทั่วไปหรืออาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ลำไส้อักเสบหรือเปล่า ตรวจก่อนก็รับมือได้ก่อน อย่าทิ้งไว้นานเพื่อสุขภาพของเพื่อนๆ เองนะครับ
อ้างอิง:

2. https://bit.ly/3ChIoaC

โรคโกเซ่

เพื่อนๆ เคยได้ยินคำว่า “โรคโกเช่ร์” ไหมครับ?
แล้วรู้ไหมว่าวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีจะเป็นวันโกเช่ร์โลก?
ถ้าไม่เคย เรามาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กัน
เพื่อจะได้รู้เท่าทันโรคนี้ครับ


“โรคโกเช่ร์” เป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งเกิดจากยีนที่มีความผิดปกติ และจะอยู่ในโรคกลุ่มพันธุกรรมแอลเอสดี ทำให้ร่างกายขาดเอนไซม์สำคัญตัวหนึ่งไป ร่างกายจึงไม่สามารถกำจัดสารประกอบไขมันเชิงซ้อนในเซลล์ชนิดหนึ่งได้ สารนี้ก็เลยสะสมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเซลล์มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีรูปร่างผิดปกติ แล้วเซลล์เหล่านี้ก็จะไปรวมตัวกันที่ม้าม ตับ หรือไขกระดูกนั่นเองครับ


ที่น่ากังวลก็คือ โรคนี้จะเกิดเมื่อพ่อแม่เป็นพาหะทั้งคู่แต่ว่าไม่รู้ตัวมาก่อนเพราะไม่มีอาการ แต่ยีนผิดปกตินี้มันถ่ายทอดไปหาลูกได้ครับ ลูกจึงมีโอกาสเป็นโรคโกเช่ร์ได้มากถึงร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของทุกการตั้งครรภ์เลย


ส่วนสถานการณ์โรคโกเช่ร์ในไทยเรามีโอกาสเกิดขึ้น 1 ใน 100,000 ครับ ถ้าเทียบกับอัตราส่วนประชากรแบบนี้ ก็คาดว่าน่าจะมีผู้ป่วยประมาณ 700 คนแล้ว เรียกได้ว่าเป็นโรคหายาก แต่! หายากไม่ได้แปลว่ามันไม่มีจริงนะครับ เพราะตอนนี้มีการพบผู้ป่วยโรคโกเชร์ในไทยแบบชัดเจนกว่า 35 คนแล้ว แล้วก็น่าจะมีผู้ป่วยอีกหลายๆ คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นด้วย


คราวนี้เรามาดูกันครับ ว่าทำไมโรคโกเช่ร์ที่หายากนี้ มันถึงได้น่ากลัวและทำไมเพื่อนๆ ถึงควรจะรู้จักไว้


อย่างแรกเลยครับ โรคโกเช่ร์จะแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ

1. ชนิดที่ 1 ไม่มีอาการทางระบบประสาท
2. ชนิดที่ 2 มีอาการทางระบบประสาทเฉียบพลัน
3. ชนิดที่ 3 มีอาการทางระบบประสาทแบบค่อยเป็นค่อยไป


โดยในชนิดที่ 1 จะทำให้ตับโต ม้ามโต ซีด ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหักง่าย ช้ำหรือเลือดออกง่าย ถ้ามีอาการรุนแรงมากก็จะแสดงอาการตั้งแต่อายุ 1 ปีเลยครับ และถ้าไม่ได้รับการรักษา ก็อาจจะเสียชีวิตก่อนอายุ 10-30 ปีเสียอีก แต่ถ้าอาการไม่รุนแรงมากก็อาจจะมีอายุเหมือนคนทั่วไปครับผม


ส่วนชนิดที่ 2 และ 3 ก็มีอาการเหมือนกับชนิดที่ 1 แต่จะมีอาการทางระบบประสาทเข้ามาด้วย เช่น ชัก ตาเหล่ หรือพัฒนาการช้า ซึ่งโรคโกเช่ร์ชนิดที่ 2 อาจทำให้เสียชีวิตก่อนอายุ 3 ปี และโรคโกเช่ร์ชนิดที่ 3 ที่พบได้บ่อยในเด็กอาจทำให้เสียชีวิตก่อน 30 ปี


ส่วนความน่ากลัวของโรคโกเช่ร์อย่างที่สองก็คือ เรามีหมอที่เข้าใจอาการของโรคและวินิจฉัยอย่างแม่นยำ “ได้อย่างจำกัด”


หมายความว่า ต่อให้เพื่อนๆ เป็นแล้วไปหาหมอ ก็อาจจะตรวจไม่พบและโรคก็จะรุนแรงไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลนี้ เพื่อนๆ จึงควรรู้จักกับโรคโกเช่ร์ไว้ เพื่อที่จะได้เข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาได้อย่างรวดเร็ว หมายความว่าต่อให้หมอคนแรกตรวจไม่เจอ แต่ถ้าเพื่อนๆ ตระหนักรู้ถึงโรคนี้ การเข้ารับการตรวจจนพบโรค ก็จะช่วยให้เรารับมือกับโรคได้ไวขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นนั่นเองครับ


ที่สำคัญ โรคโกเช่ร์เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อนๆ จึงควรสังเกตคนในครอบครัวโดยเฉพาะลูกหลานว่าพวกเขามีอาการท้องโต มีภาวะซีด เกิดรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกหรือว่ามีพัฒนาการช้าไหม เพื่อที่จะได้รีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีนะครับ

สนับสนุนข้อมูลโดย: มูลนิธิโรคพันธุกรรมแอลเอสดี
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.lsdthailand.com/lsd/index.php 

หน้าที่ 3 จาก 7