กศน.ตำบลเนินมะกอก หมู่ 12 บ้านสายหกพัฒนา ต.เนินมะกอก อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ 60130 056-431504 094-0014936 08.30 น. - 16.30 น.
ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

128557677 216746703237345 8173356735280948121 n

นางสาวรัตติกาล  ต้านทาน

ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเนินมะกอก

 เบอร์โทร 094-0014936

173015811 295761035263297 1389067186681539045 n 

นางสาวกานต์พิชชา  ทัพน้อย

ตำแหน่ง ครูอาสา

 เบอร์โทร 

 

แพลตฟอร์ม กศน.นครสวรรค์

จำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์
097263
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
สัปดาห์ที่แล้ว
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ผู้เข้าชมทั้งหมด
78
91
1170
95481
2915
2250
97263

Your IP: 192.168.1.1
2024-12-27 15:49

เบาหวาน

เป็นเบาหวานต้องตัดขา เป็นเบาหวานแล้วตาบอด...ความน่ากลัวของโรคเบาหวานทำให้หลายคนพยายามดูแลตัวเองอย่างดี แต่ในขณะที่บางคนอาจจะไม่เคยสนใจเรื่องราวเหล่านี้เลย และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองใกล้เป็นเบาหวานแล้วหรือไม่ ?

โรคเบาหวาน คือ โรคที่ร่างกายของเรามีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากเกิดความผิดปกติในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน และระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นนี้ จะส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ รวมไปถึงเส้นประสาทด้วย

ผมอยากให้เพื่อนๆ หันมาสนใจเรื่องนี้กันให้มากขึ้นครับ จึงอยากจะมาแนะนำสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกว่า #เรากำลังจะเป็นเบาหวาน มาดูกันหน่อยซิครับว่า...เรากำลังเสี่ยงแค่ไหน ?

#1ปัสสาวะบ่อย
เมื่อน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ ทำให้เราปวดฉี่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

#2กระหายน้ำบ่อย
เมื่อฉี่บ่อย ร่างกายก็ต้องการน้ำเพื่อทดแทนของเหลวที่ฉี่ออกไป ทำให้รู้สึกหิวน้ำบ่อยตามไปด้วย

#3หิวบ่อย
เมื่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลได้ดีเหมือนเดิม ร่างกายก็จะไม่ได้รับพลังงานเต็มที่ ทำให้เกิดความหิวอยู่ตลอดเวลา

#4ชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า
อาการชาที่นิ้วมือและนิ้วเท้า เป็นสัญญาณว่าเส้นประสาทเสียหาย เนื่องจากระดับน้ำตาลสูง ซึ่งบางคนอาจจะเกิดสัญญาณนี้ตั้งแต่แรก แต่บางคนอาจจะเกิดขึ้นหลังจากที่เป็นเบาหวานมาหลายปีแล้ว

#5แผลหายช้า
เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง จะทำให้หลอดเลือดแคบลง เลือดไหลช้าลง ทำให้สารอาหารและออกซิเจนเดินทางไปถึงบาดแผลช้าลงด้วย แผลจึงหายช้า

#6ตาพร่ามัว
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างกะทันหัน จะส่งผลต่อหลอดเลือดขนาดเล็กในดวงตา ทำให้ตาเบลอได้ในบางเวลา

#7ติดเชื้อง่าย
คนที่เป็นเบาหวานมักจะติดเชื้อได้บ่อยกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา

#8ผิวหนังคัน
อาการคันที่ผิวหนัง อาจเกิดจากภาวะการติดเชื้อรา ผิวแห้ง หรือการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี ซึ่งมักพบเจอที่บริเวณขา

#9ปากแห้ง
อาการนี้เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยในโรคเบาหวาน ทำให้มีปัญหาในการเคี้ยว กลืน หรือพูด รวมถึงการติดเชื้อในช่องปาก

จะเห็นได้ว่าโรคเบาหวานมีสัญญาณเตือนที่หลากหลาย ทุกสัญญาณล้วนแต่บ่งบอกให้เพื่อนๆได้มีเวลารู้ตัวก่อน เพื่อที่จะได้หันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น แต่ถ้าเพื่อนๆยังละเลยมัน จะทำให้กลายเป็นปัญหาในระยะยาวอย่างแน่นอน

การรู้ว่าเป็นโรคเบาหวานตั้งแต่เนิ่นๆ และเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็ว สามารถลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนได้ ผมจึงอยากให้เพื่อนๆ ช่วยกันแชร์เรื่องนี้ออกไป จะได้เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เตือนให้คนอื่นได้ระวังตัวเองให้มากกว่าเดิม และช่วยลดอันตรายจากเบาหวานได้ครับ

อ้างอิง
https://bit.ly/3bbxs54
https://bit.ly/3xFxz0g

ภาวะสมองล้า 1

 

ภาวะสมองล้า คือ ภาวะเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้งานสมองอย่างหนัก ทำให้ความจำและประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเป็นอย่างมากนั่นเองครับ และเมื่อสมองล้าแล้วก็อาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย เช่น เกิดสมองเสื่อมก่อนวัยอันควร

ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของภาวะสมองล้าได้

- เร่งทำงานให้เสร็จทันเวลา ต้องใช้สมองหนักมากหรืออาจต้องอดนอนด้วย
- พักผ่อนน้อย นอนวันละไม่เกิน 6 ชั่วโมงเท่านั้น
- ทำงานหรือนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป
- มีความเครียดสะสม ไมค่อยผ่อนคลายความเครียด
- ขาดการบำรุงสมอง เช่น ร่างกายขาดวิตามินบี
- ฮอร์โมนไม่สมดุล
- ทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน 

สมองล้า2

สมองล้า3

สมองล้า4

สมองล้า 5

สมองล้า7

สมองล้า8

275481116 3035142433401248 2284888817512155409 n

เพื่อนๆ มีอาการชาปลายมือปลายเท้า
รู้สึกเหมือนมดไต่ผิวหนัง ยุบยิบ เจ็บจี๊ดหรือแปลบแบบเข็มตำไหมครับ?
.

นี่อาจเป็นสัญญาณ ..โรคปลายประสาทอักเสบ ที่ห้ามละเลย หรือมองข้าม
.

วันนี้ผมมีความรู้และวิธีเช็กอาการมาฝากทุกคน ตามมาเลยครับ!

ชา1

ก่อนอื่น ผมอยากให้เพื่อนๆ ทำความรู้จักกับวิตามิน B1 B6 และ B12 กันก่อน
.

ที่ต้องพูดถึงวิตามินทั้ง 3 ตัวนี้ก็เป็นเพราะว่าวิตามินเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบประสาท รวมถึงอาการมือเท้าชาก็ด้วย!
.

จริงๆ แล้ววิตามิน B1 B6 และ B12 เป็น 3 ตัวช่วยที่ระบบประสาทขาดไม่ได้ เพราะวิตามินทั้ง 3 มีส่วนสำคัญต่อระบบประสาทแตกต่างกันไป ทำงานร่วมกันจะช่วยกันฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ประสาท เพื่อให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ และหากได้รับในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยป้องกันหรือรักษาอาการจากโรคปลายประสาทอักเสบได้
.

โดยวิตามิน B1 จะกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและปฏิกิริยาเคมีในการสร้างพลังงานของเส้นประสาท ส่วนวิตามิน B6 จะสร้างสัญญาณประสาทและสารสื่อประสาท และวิตามิน B12 ก็ช่วยฟื้นฟูระบบประสาท เช่น เส้นประสาทและปลอกหุ้มปลายประสาทให้กลับมาทำงานตามปกตินั่นเองครับ
.

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเพื่อนๆ ได้รับวิตามิน B ทั้ง 3 นี้ไม่เพียงพอ?

คำตอบก็คือ เพื่อนๆ จะมีความเสี่ยงเป็น “โรคปลายประสาทอักเสบ” ได้มากขึ้น! 

ชา2

และปัจจัยสำคัญที่ทำให้เพื่อนๆ เสี่ยงเป็นโรคปลายประสาทอักเสบก็คือภาวะขาดวิตามิน B โดยเฉพาะ B1 B6 และ B12 ที่ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บของเส้นประสาทนั่นเองครับ หากเพื่อนๆ ได้รับวิตามิน B อย่างเพียงพอ วิตามิน B ทั้ง 3 นี้ก็จะช่วยกันฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ประสาทเพื่อให้ระบบประสาททำงานเป็นปกติ และช่วยรักษาอาการจากโรคปลายประสาทอักเสบได้อีกด้วย
.

ส่วนปัจจัยอื่นๆ ก็อย่างเช่น

- โรคเบาหวาน ที่ผู้ป่วยมักมีความผิดปกติปลายประสาท เท้าจึงชา อาจนำไปสู่การติดเชื้อจนถึงขั้นต้องตัดเท้า

- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ส่งผลเสียต่อเส้นใยประสาท ซึ่งคนที่ดื่มแอลกอฮอล์กว่าร้อยละ 50 มีปัญหาปลายประสาทอักเสบครับ

- การกดทับที่เส้นประสาท ตรงนี้อาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือการนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ อาจทำให้เส้นประสาทเสียหายได้

ชา3

โรคปลายประสาทอักเสบเกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย ทั้งในด้านการรับความรู้สึก การเคลื่อนไหว และระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา ซึ่งผมจะขอแบ่งอาการเป็น 2 กลุ่มนะครับ นั่นก็คือ

1. กลุ่มที่แสดงอาการมากกว่าปกติ

- มีอาการชา แสบร้อน เจ็บปวด เจ็บเหมือนเข็มตำ เหมือนมีมดไต่ตามผิว โดยเฉพาะตามปลายมือปลายเท้า

- ไวต่อการถูกสัมผัสมากกว่าปกติ

2. กลุ่มแสดงอาการน้อยกว่าปกติ

- รู้สึกชา กล้ามเนื้อส่วนปลายอ่อนแรง มีปัญหาการทรงตัว

- รู้สึกถึงความร้อนและความเย็นน้อยกว่าปกติ 

ชา4

ถ้าเพื่อนๆ สงสัยว่าตัวเองกำลังเป็นโรคปลายประสาทอักเสบอยู่หรือเปล่า ก็ลองเช็กอาการตัวเองได้จากสัญญาณทั้ง 9 ข้อนี้เลยครับ

1. รู้สึกเหมือนถูกมดกัดหรือไต่ตามผิวหนัง

2. รู้สึกเหมือนถูกเข็มตำตามปลายมือปลายเท้า

3. รู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกไฟช็อตโดยไม่มีสาเหตุ

4. ทำกิจวัตรประจำวันได้ลำบาก เช่น ติดกระดุม เปิดขวดน้ำ

5. รู้สึกเจ็บปวดมากแม้สัมผัสสิ่งที่อ่อนนุ่ม

6. รู้สึกเหมือนใส่ถุงมือถุงเท้า ทำให้ประสาทสัมผัสหายไปในบางครั้ง

7. รู้สึกว่าการหยิบ จับ หรือคว้าสิ่งของเป็นเรื่องยาก

8. ประเมินอุณหภูมิของสิ่งต่างๆ ด้วยการสัมผัสไม่ค่อยได้

9. กล้ามเนื้อบริเวณมือหรือขาอ่อนแรง รับน้ำหนักไม่ไหว
.

หากเพื่อนๆ มีอาการชาเกิดขึ้นหรือสงสัยว่าจะเป็นปลายประสาทอักเสบจากการคัดกรองด้วยตนเองแล้ว เพื่อนๆ ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไปนะครับ 

ชา5

หรือถ้าเพื่อนๆ มีข้อสงสัย ก็สามารถติดตามและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook “อย่าเฉย เมื่อเกิดอาการชา” คลิกที่ลิงก์นี้ได้เลย (https://www.facebook.com/careyournerve/ )

#อย่าเฉยเมื่อเกิดอาการชา #Careyournerve #vitaminB1B6B12 #NerveHealth

Code: MAT-TH-UNBRANDED-22-000006

ไตวาย

“ไม่เค็ม ไม่อร่อย”
ใครที่คิดแบบนี้ต้องระวัง
เป็นไตวายเรื้อรังนะครับ!

จากข้อมูลการศึกษาของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย พบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคไตมากถึง 8 ล้านคน และยังมีแน้วโน้มว่าจะสูงขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย! แต่ก่อนที่จะตกใจไปมากกว่านี้ ผมว่าเราไปทำความรู้จักกับโรคนี้กันหน่อยดีกว่า

ไตวายเรื้อรัง คือภาวะที่ไตทำงานผิดติ ทำให้ขับของเสีย น้ำ หรือของเหลวส่วนเกินออกมาจากกระแสเลือดได้ไม่หมด สิ่งที่คั่งค้างอยู่นี้จึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นมานั่นเองครับ ซึ่งระยะเวลาที่ทำให้ไตทำงานผิดปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือน แล้วไตก็จะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ที่น่าเป็นห่วงก็คือ โรคไตวายเรื้อรังจะไม่แสดงออกในระยะแรกๆ ทำให้หลายๆ คนปล่อยทิ้งไว้จนอาการหนักและรักษายากขึ้น หรืออาจจะทำให้เกิดไตวายเฉียบพลันได้เลย

ในระยะแรกๆ ไตวายเรื้อรังจะไม่แสดงอาการก็จริง แต่เมื่อเข้าระยะท้ายๆ คนที่ป่วยเป็นโรคไตก็อาจจะเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อ่อนเพลีย คันตามตัว ปวดเอว ปวดหลัง ฉี่บ่อยตอนกลางคืน หรือว่าเท้าบวม ท้องบวม และประจำเดือนขาด ซึ่งก็จะต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างเร็วที่สุด

สาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคไตวายก็คือโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง แน่นอนครับว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดสองโรคนี้ก็ไม่ได้ไกลตัวเลย เพราะมันคือ “อาหาร” ที่เรากินเข้าไป พอเกิดโรคขึ้นมาได้โรคหนึ่ง ไตวายเรื้อรังก็เตรียมพร้อมที่จะเล่นงานเพื่อนๆ ได้เหมือนกัน ดังนั้น การใส่ใจกับอาหารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ

อย่างที่เรารู้กันว่า ถ้ากินเค็ม ไตก็จะทำงานหนัก ใช่แล้วครับ ยิ่งเค็มเท่าไรไตก็ยิ่งเหนื่อย หลายๆ คนมักจะเข้าใจผิดว่ากินเค็มหมายถึงเกลือหรือน้ำปลาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว ความเค็มที่น่ากลัวมาจากสิ่งที่เรียกว่า “โซเดียม” ครับ ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา เกลือ ซอสปรุงรส ซอสมะเขือเทศ ผงชูรส เนื้อหมักซอส น้ำจิ้มต่างๆ หรือแม้แต่อาหารแช่แข็งก็มีปริมาณโซเดียมที่สูงมากจนน่าทึ่ง

ปกติคนเราควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชาหรือ 2,000 มิลลิกรัมเท่านั้น แต่เพื่อนๆ ลองอ่านฉลากโภชนาการจากซองขนม น้ำอัดลม หรือว่าอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาดูสิครับ ลองคำนวณคร่าวๆ ว่าวันหนึ่งเรากินอะไรเข้าไปบ้าง แล้วเพื่อนๆ ก็จะได้คำตอบว่าทำไมคนไทยถึงเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นเยอะขนาดนี้

เมื่อรู้แล้วว่าอะไรคือศัตรูของสุขภาพ เพื่อนๆ ก็ควรจะลดปริมาณอาหารเหล่านั้นลงมาบ้างนะครับ ไม่ใช่ว่ากินไม่ได้ แต่ต้องกินอย่างพอดี ไม่อย่างนั้น อร่อยวันนี้ แต่ไตวายวันหน้ามันก็ไม่คุ้มกันเนอะ
#ลืมป่วย

อ้างอิง:
1. https://mayocl.in/2GjEbL4
2. https://bit.ly/3fyk0If

5 วิธีเอาชนะอาการท้องผูก

อาการแบบไหน
ถึงเรียกว่าท้องผูก?
.
หากเพื่อนๆ รู้สึกว่าการอึเป็นเรื่องยาก นั่งเป็นครึ่งค่อนชั่วโมงแล้วยังอึไม่ออก อึไม่สุด อึแข็ง อึดอัดแน่นท้อง นี่แหละครับที่เรียกว่า “อาการท้องผูก”
.
แล้วอาการท้องผูกเกิดจากอะไรกันนะ?
จริงๆ ท้องผูกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเลย ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารที่มีไฟเบอร์น้อยเกินไป ดื่มน้ำน้อย ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย ชอบอั้นอึ เบ่งอึนานเกินไป เบ่งอึไม่ถูกวิธี การใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาอาการซึมเศร้า ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคอัลไซเมอร์ หรืออาจจะเป็นเพราะการทำงานของลำไส้ใหญ่ผิดปกติก็ได้ครับ
.
แต่ท้องผูกได้ มันก็แก้ให้หายได้!
กว่า 50% ของคนที่ท้องผูกสามารถหายได้เพราะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตครับ เช่น หันมากินอาหารไฟเบอร์สูงให้มากขึ้น ดื่มน้ำเยอะๆ หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะทำตาม 5 วิธีต่อไปนี้ที่ผมรวบรวมมาฝากก็ได้ครับ
.
1. ดื่มน้ำเยอะๆ วันละประมาณ 2 ลิตร
เพื่อให้อึไม่แข็งเกินไป เวลาขับถ่ายก็จะง่ายขึ้นครับ
2. กินอาหารไฟเบอร์สูงบ่อยๆ
เช่น ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียว จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ทำให้อึได้ง่ายขึ้น
3. กินมื้อเช้าเป็นประจำ
เพื่อกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้ทำงาน พอเรากินอาหารเข้าไป ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายก็จะเริ่มทำงาน เราก็จะอยากอึมากขึ้นนั่นเอง
4. ออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวบ่อยๆ
เพื่อให้กล้ามเนื้อลำไส้ทำงานได้เป็นปกติ ลำไส้จะเคลื่อนไหวดีขึ้น แล้วอึก็จะเดินทางง่ายขึ้นด้วย
5. ห้ามอั้นอึเด็ดขาด!
จะปวดมากปวดน้อยก็ควรไปอึ หรือฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาได้ก็ยิ่งดี
.
อาการท้องผูกเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ หรือเพื่อนๆ ที่เป็นอยู่ก็บรรเทาอาการได้ครับ แต่จะต้องทำตามทั้ง 5 วิธีที่ผมนำมาบอกอย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะปรึกษาคุณหมอเพื่อรับยาและคำปรึกษาร่วมด้วยก็ดีครับ แต่ถ้าเพื่อนๆ มีอาการท้องผูกเรื้อรังก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้คุณหมอลองตรวจดูหน่อยดีกว่า ว่าที่เราท้องผูกนั้นเป็นแค่ท้องผูกทั่วไปหรืออาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ลำไส้อักเสบหรือเปล่า ตรวจก่อนก็รับมือได้ก่อน อย่าทิ้งไว้นานเพื่อสุขภาพของเพื่อนๆ เองนะครับ
อ้างอิง:

2. https://bit.ly/3ChIoaC

หน้าที่ 3 จาก 8