- ครู กศน.ตำบล
- ข่าวกิจกรรม กศน.ตำบล
- จำนวนการเข้าชม: 495
นางสาวสายชล แตงไทย
ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเขากะลา
เบอร์โทร 056-267-523
ประกาศสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดนครสวรรค์
เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคาประกวดราคาซื้อหนังสือเรียนภาคเรียนที่ 1/2568
ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลายด้วยวิธีการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)
ประกาศเรื่อง ประกวดราคาซื้อหนังสือเรียนภาคเรียนที่ 1/2568
ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์
ประกาศผลการสอบคัดเลือกเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานจ้างเหมาบริการ
ตำแหน่ง พนักงานขับรถห้องสมุดเคลื่อนที่ (โมบาย)
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้ารับการสอบสัมภาษณ์ และทดสอบปฏิบัติ
ตำแหน่ง พนักงานขับรถห้องสมุดเคลื่อนที่ (โมบาย)
สอบวัดความรู้ระดับชาติ (n-net) ในวันที่ 7 มีนาคม 2564 ณ โรงเรียนพยุหะวิทยาคม
กศน.ตำบลเขากะลา จัดสอนอาชีพการทำขนมทองม้วนสด ให้กับประชาชนตำบลเขากะลา อำเภอพยุหะคีรี
หน้าที่ 1 จาก 2
วันนี้ (26 ก.ค.2568) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์สู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตามการพิทักษ์ส่วนหลังในดูแลทรัพย์สินของประชาชน
ผบ.ตร.สั่งการให้ตำรวจทุกนาย ยกระดับให้ทุกกองบัญชาการ ทุกสถานีตำรวจ สืบสวนหาข่าวกลุ่มบุคคลที่ใช้โซเชียลมีเดียบิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการเปิดรับบริจาคสิ่งของ และมีแนวโน้มยุยงและปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่การทำร้ายร่างกาย
ส่วนในพื้นที่ จ.ตราด ที่เกิดการปะทะขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันนี้ เบื้องต้นได้รับรายงานว่าเมื่อกลางดึกวันที่ 26 ก.ค. ตำรวจภูธรภาคที่ 2 ได้สนธิกำลังกับหน่วยงานความมั่นคงทางทหาร ประเมินความเสี่ยงและเข้าอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ขณะที่มาตรการดูแลบริเวณด่านชายแดนในพื้นที่ จ.จันทบุรีและตราด ยุทธการจะขึ้นกับฝ่ายทหาร โดยจะมีการเปิดด่านเป็นช่วงเวลาเพื่อให้คนไทยและคนกัมพูชาที่ต้องการกลับบ้านได้เดินทางเข้าออก และขอให้ประชาชนติดตามประกาศเพื่อจะได้ดำเนินการอย่างเรียบร้อย
ส่วนกรณีตำรวจควบคุมตัวชาย 2 คนในพื้นที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ไว้สอบสวน เนื่องจากพบว่าได้พกพากล้องนำไปถ่ายตามพื้นที่ต่างๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรและรอการส่งกลับ แต่ระหว่างนี้จะสืบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมและวัตถุประสงค์ของการเข้ามาในประเทศไทย
สำหรับเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น ขณะนี้ได้รับรายงานว่ามีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ 2 นาย เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนใน จ.ศรีษะเกษ โดย ผบ.ตร.เตรียมลงพื้นที่ไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตามแนวชายแดน
อ่านข่าว
“กองกำลังบูรพา” ผลักดันทหารกัมพูชาออกจาก 4 พื้นที่ จ.สระแก้ว
“ชาวกัมพูชา” ครึ่งหมื่น เตรียมข้ามแดนจันทบุรีกลับบ้าน
เปิดประตูใหญ่ “ด่านบ้านแหลม” ให้ชาวกัมพูชากว่าหมื่นคนกลับบ้าน
มาตรการในการผ่อนปรนใน วันนี้ (26 ก.ค.2568) แตกต่างจากเมื่อวาน เนื่องจากมีชาวกัมพูชาจำนวนมาก ต้องการเดินทางกลับประเทศ ทางผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจังหวัดจันทบุรี ได้ประสานทางการฝั่งกัมพูชา เพื่อขออนุญาตเปิดประตูใหญ่ ให้ชาวกัมพูชาที่ต้องการเดินทางกลับประเทศ ข้ามไปได้
ภาพ : ขวัญชัย ชาบุญมี ช่างภาพข่าว ไทยพีบีเอส
จากช่วงเช้าที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้ (10.00 น.) มีชาวกัมพูชามารอที่บริเวณด่านแล้ว กว่า 10,000 คนแล้ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากการสัญจรบนถนน ก่อนเข้าด่านถาวรบ้านแหลม ก็ยังพบเห็นว่า มีรถกระบะและรถโดยสารมาส่งชาวกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนการคัดกรองผู้ที่จะเดินทางข้ามแดนนั้น ทางเจ้าหน้าที่อนุโลมไม่ตรวจหนังสือเดินทาง แต่จะคัดกรองเฉพาะชาวกัมพูชา ให้อนุญาตข้ามแดนไปได้เท่านั้น โดยไม่อนุญาตให้ชาวไทยหรือชาวต่างชาติข้ามไปได้
ภาพ : ขวัญชัย ชาบุญมี ช่างภาพข่าว ไทยพีบีเอส
ชายชาวกัมพูชาคนหนึ่ง เปิดเผยว่า เป็นแรงงานในภาคเกษตรกร ในพื้นที่ อ.สอยดาว จ.จันทบุรี ก่อนหน้านี้ที่จะมีสถานการณ์ความขัดแย้ง ตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย. ไม่ได้ตัดสินใจเดินทางกลับเพราะคิดว่า สถานการณ์จะไม่รุนแรง และ 2 ประเทศน่าจะตกลงกันได้ แต่เมื่อเหตุการณ์บานปลาย มีการปะทะกันและยกระดับความรุนแรงขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศ แต่เหตุผลหลักแล้ว กลัวในเรื่องของความปลอดภัย
ภาพ : ขวัญชัย ชาบุญมี ช่างภาพข่าว ไทยพีบีเอส
จากภาพที่ปรากฏลงสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีกลุ่มวัยรุ่นชาวไทยไล่ทำร้ายร่างกายชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นสาเหตุหลัก ส่วนสาเหตุที่รองลงมาก็คือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน พร้อมแสดงความคิดเห็นว่า อยากให้ผู้นำทั้ง 2 ประเทศหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามแม้เจ้าหน้าที่จะเปิดประตูใหญ่ เป็นช่องทางพิเศษให้สามารถข้ามแดนไปได้แล้วก็ตาม แต่ยังคงมีชาวกัมพูชาอีกจำนวนมาก ที่ยังไม่ได้ผ่านข้ามแดน ซึ่งเจ้าหน้าที่พยายามเร่งอำนวยความสะดวกให้ชาวกัมพูชาทั้งหมด ได้เดินทางกลับประเทศภายในระยะเวลาที่กำหนด คือก่อนเวลา 15.00 น. และจะพยายามไม่ให้มีใครตกค้างอยู่ในพื้นที่ในวันนี้
ภาพ : ขวัญชัย ชาบุญมี ช่างภาพข่าว ไทยพีบีเอส
ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่เปิดด่านเวลาประมาณ 11.00 น. ชาวกัมพูชาต่างก็กรูกันไปยังประตูข้ามขาย แดน เพื่อกลับประเทศ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปิดประตูใหญ่ เวลา 12.00 น. เปิดไว้เพียงประตูเล็กเพื่อตรวจสอบเอกสารเท่านั้น
ภาพ : ขวัญชัย ชาบุญมี ช่างภาพข่าว ไทยพีบีเอส
ส่วนมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัย มีตำรวจตระเวนชายแดน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจังหวัดจันทบุรี รวมถึงรถพยาบาล มาเตรียมความพร้อมดูแลชาวกัมพูชา ที่รอระหว่างข้ามชายแดน
ภาพ : ขวัญชัย ชาบุญมี ช่างภาพข่าว ไทยพีบีเอส
อ่านข่าว : “กองกำลังบูรพา” ผลักดันทหารกัมพูชาออกจาก 4 พื้นที่ จ.สระแก้ว
วันนี้ (26 ก.ค.2568) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ (กต.) แถลงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ว่า ตั้งแต่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มปะทะกับฝ่ายไทยครั้งแรก ตลอดเวลาที่ตนปฏิบัติภารกิจที่องค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ยืนยันให้ทุกประเทศและผู้แทนระดับสูงของยูเอ็นทราบว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มก่อนและโจมตีพื้นที่พลเรือน จนทำให้ประชาชนชาวไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
ขณะเดียวกันกัมพูชายืนยันมาตลอดว่าเป็นสมาชิกของประชาคมระหว่างประเทศ แต่กลับละเมิดหลักการและมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรง โจมตีไม่เลือกเป้าหมาย โดยโจมตีพื้นที่ของพลเรือน ซึ่งไม่เพียงเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย แต่ยังละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรของสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง รวมถึงละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซึ่งควรได้รับการประณามอย่างรุนแรงจากประชาคมระหว่างประเทศ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า การประชุมแบบเปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ตนได้กล่าวถ้อยแถลงและพบหารือกับผู้แทนระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศและประเทศต่างๆ โดยได้ย้ำข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้น ย้ำท่าทีของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ รวมถึงได้ยืนยันเรื่องการละเมิดสัญญาออตตาวาของกัมพูชาที่ลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตอธิปไตยไทย
ทั้งหมดเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ละเมิดข้อตกลงทุกอย่างโดยฝ่ายกัมพูชา
ส่วนกรณีที่กัมพูชายื่นหนังสือต่อประธาน UNSC เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าพบเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรปากีสถาน ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธาน UNSC ประจำเดือน ก.ค.2568 ชี้แจงเหตุการณ์ที่กำพูชาริเริ่มใช้กำลังทางทหารและละเมิดพันธกรณีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งมีหนังสือเวียนให้ประเทศสมาชิกรับทราบ
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ
นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ว่า ทั่งฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชาและประเทศสมาชิก UNSC ได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมฯ โดยฝ่ายไทยได้ยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงและโจมตีสถานที่ที่ไม่ใช่เป้าหมายทางทหารอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ถ้อยแถลงของประเทศสมาชิก UNSC ที่เข้าร่วมประชุมเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ 1.ขอให้กัมพูชาและไทยใช้การยับยั้งชั่งใจ ลดความตึงเครียด หยุดยิงและแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี รวมถึงใช้ช่องทางการทูตและการเจรจาทวิภาคีบนพื้นฐานและหลักการการเป็นเพื่อนบ้านที่ดีระหว่างกัน 2.สนับสนุนบทบาทของอาเซียนในการหารือแก้ไขความขัดแย้ง และ 3.ย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นภัยต่อสันติภาพและความมั่งคงระหว่างประเทศ โดยเป็นข้อขัดแย้งของ 2 ประเทศที่ควรแก้ไขผ่านกระบวนการเจรจาอย่างสันติ ทั้งนี้ที่ประชุม UNSC เมื่อวันที่ 25 ก.ค. ไม่ได้มีการออกเอกสารใดๆ
สำหรับกรณีนายอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน เสนอขอเป็นตัวกลางเจราจาหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ตนขอขอบสำหรับบทบาทและข้อเสนอต่างๆ ซึ่งประเทศไทยเห็นด้วยในหลักการ แต่กัมพูชาต้องแสดงความจริงใจอย่างชัดเจนและยุติการโจมตี โดยไทยได้หารือกับมาเลเซียในฐานะที่เป็นประธานอาเซียน เพื่อหาข้อยุติเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
รมว.ต่างประเทศ ยังกล่าวถึงการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ว่า ได้สั่งการให้ กต.ทำหนังสือประท้วง เพราะรัฐบาลไทยยอมรับไม่ได้ โดยยืนยันเจตนารมณ์ในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทโดยสันติวิธี บนพื้นฐานของหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในการธำรงสันติภาพและเสถียรภาพ พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการรุกราน การกระทำที่เป็นละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศและกลับเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างจริงใจและสุจริตใจ
ขณะที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษก กต. แถลงย้ำจุดยืนขอ กต. ในเรื่องการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ดังนี้
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 เวลา 08.20 น. กองกำลังกัมพูชา เปิดฉากยิงใส่ฐานทัพไทยที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย หลังจากนั้นทหารกัมพูชาเปิดฉากโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายในพื้นที่ 4 จังหวัดของไทย คือ จ.บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษแลอุบลราชธานี
ต่อมาเวลา 11.50 น.วันเดียวกัน โรงพยาบาลพนมดงรักฯ ถูกโจมตีด้วยการยิงปืนใหญ่จากฝ่ายกัมพูชา ถือเป็นการกระทำรุนแรง ไม่เลือกเป้าหมายและละเมิดกฎหมายต่อพลเรือนไทย ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงสตรี เด็ก สถานที่ของพลเรือนและโรงพยาบาล
ทั้งนี้ เวลา 14.00 น.ของวันที่ 25 ก.ค.2568 การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 13 คน บาดเจ็บ 46 คน
ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีพลเรือน สถานที่ของพลเรือนและสถานพยาบาล ถือเป็นละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 อย่างชัดเจนและร้ายแรง รวมถึงข้อ 19 ของอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 1 ว่าด้วยการคุ้มครองหน่วยแพทย์และสถานพยาบาล และข้อ 18 ของอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 4 ว่าด้วยการคุ้มครองโรงพยาบาลฝ่ายพลเรือน
ประเทศไทยขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันไร้มนุษยธรรม ซึ่งขัดต่อพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาเจนีวาอย่างชัดเจน โดยรัฐบาลไทยจะมีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อแสดงการประณามอย่างรุนแรงต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงเหล่านี้
อ่านข่าว
กองทัพยืนยัน "กระสุนตกฝั่งลาว" ไม่ใช่ของฝ่ายไทย
"ภูมิธรรม" เผย "อันวาร์" เสนอขอเป็นตัวกลางเจรจาหยุดยิงไทย-กัมพูชา
เปิดถ้อยแถลง! ทูตไทยประจำสหประชาชาติ ชี้แจง UNSC กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
วันนี้ (26 ก.ค.2568) เวลาประมาณ 08.00 น. จากสถานการณ์ปะทะตามแนวชายแดน ไทย - กัมพูชา ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ที่มีสัญญาณขยายมาในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ได้สรุปผลการปฏิบัติตามแผนจักรพงษ์ภูวนารถ โดยใช้กำลังผลักดันต่อกำลังฝ่ายกัมพูชา ออกจากเขตประเทศไทย และบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์ตาม MOU43 จำนวน 4 พื้นที่ บริเวณแนวชายแดนด้าน จ.สระแก้ว ได้แก่ อ.ตาพระยา 2 พื้นที่ และ อ.โคกสูง จำนวน 22 พื้นที่ ผลการปฏิบัติ สามารถผลักดันกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากทั้ง 4 พื้นที่
ปัจจุบันได้วางกำลังตรึงพื้นที่ตลอดแนวชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อรักษาอธิปไตย และรักษาความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย
ส่วนการอพยพประชาชน ได้สนับสนุนส่วนราชการจังหวัด ในการอพยพประชาชน ไปยังพื้นที่รวบรวบรวมพลเรือน ในพื้นที่ จ.สระแก้ว 19 พื้นที่ มียอดรวมประชาชนอพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน(ศูนย์พักพิงชั่วคราว) จำนวน 4,076 คน ไม่มีผลกระทบและความเสียหายในพื้นที่ต่อ พี่น้องประชาชน
นอกจากนี้มณฑลทหารบกที่ 19 ได้ดำเนินการจัดตั้งโรงครัวพระราชทาน ประกอบอาหารพระราชทาน ณ พื้นที่เทศบาลเมืองสระแก้ว ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ค.2568 เพื่อดูแลประชาชนผู้อพยพในพื้นที่ด้วย
อ่านข่าว : กองทัพยืนยัน "กระสุนตกฝั่งลาว" ไม่ใช่ของฝ่ายไทย