นางสาวสายชล แตงไทย
ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเขากะลา
เบอร์โทร 056-267-523
ประกาศสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดนครสวรรค์
เรื่อง รับสมัครบุคคลเพื่อจ้างเหมาบริการ ตำแหน่ง นักวิชาการวิทยาศาสตร์ศึกษา
ประกาศสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดนครสวรรค์
เรื่อง ประกาศผู้ชนะการเสนอราคา ประกวดราคาซื้อรถส่งเสริมการอ่านเคลื่อนที่
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดนครสวรรค์ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)
ประกาศสำนักงาน สกร.ประจำจังหวัดนครสวรรค์
เรื่อง ประกาศผลการสอบคัดเลือกบุคคลเพื่อเลือกสรรเป็นพนักงานราชการทั่วไป
ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบล ตำแหน่ง ครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียน และตำแหน่ง นิติกร
วันนี้ (29 เม.ย.2568) พ.ต.อ.ธนาทัศน์ ศรีพิพัฒน์ รักษาราชการแทนผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นำกำลังตำรวจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดพญาไท กรมปศุสัตว์ ได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้น 4 จุดสำคัญในย่านตลาดใหญ่แห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ปทุมธานี หลังได้รับรายงานว่ามีการลักลอบนำเข้าซากสุกรผิดกฎหมายเข้ามาจำหน่ายในประเทศ
1 ใน 4 เป้าหมายที่เข้าตรวจค้น พบในห้องเย็นที่มีความจุ 40 ตัน ใช้เก็บซากสุกรที่ลักลอบนำเข้ามาจาก จ.นครปฐมและสมุทรปราการ และกระจายส่งขายทั่วประเทศ โดยเจ้าหน้าที่พบซากสุกรจำนวนทั้งสิ้น 9,350 กิโลกรัม โดยเจ้าของสามารถแสดงเอกสารการเคลื่อนย้ายได้เพียง 4,000 กิโลกรัม และยังพบว่าซากสุกรจำนวนนี้มีกลิ่นเหม็นและเน่าเสีย อีกทั้งยังไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาได้อย่างถูกต้อง ส่วนอีก 1,350 กิโลกรัมไม่มีเอกสารรับรองใด ๆ จึงเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 มาตรา 22 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เจ้าหน้าที่จึงให้เวลากับทางเจ้าของบริษัทที่พบซากหมูดังกล่าว หาเอกสารนำมาชี้แจงภายใน 15 วัน
ส่วนในพื้นที่ จ.ปทุมธานีเป็นพื้นที่เฝ้าระวังการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ทำให้การควบคุมโรคและความปลอดภัยของผู้บริโภคมีความสำคัญสูงสุด เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดซากสุกรจำนวน 5,350 กิโลกรัม มูลค่ารวมเกือบ 1 ล้านบาท ไว้เป็นเวลา 15 วัน เพื่อให้เจ้าของนำเอกสารมาแสดง หากไม่สามารถนำมาแสดงได้จะดำเนินคดีตามกฎหมายทันที
เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบการผลิตและการกระจายเนื้อหมูในประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหมูมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงนี้ จากการควบคุมเข้มงวดของหน่วยงานรัฐ และการลดลงของแหล่งจำหน่ายหมูที่ไม่ปลอดภัย ทาง บก.ปคบ.จึงขอให้ผู้บริโภคระมัดระวังในการเลือกซื้อเนื้อหมู เลือกแหล่งที่มีการรับรองคุณภาพก่อนการตัดสินใจซื้อทุกครั้ง
อ่านข่าว :
กรรมการ บ.ไมนฮาร์ทฯ ผู้ออกแบบตึก สตง.เข้าให้ปากคำ DSI
เจาะคอนกรีตถึงชั้นใต้ดินตึก สตง.พบผู้ติดค้างเพิ่มช่องบันไดโซน B
วันนี้ (29 เม.ย.2568) สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากปากีสถานประกาศปิดน่านฟ้าไม่ให้สายการบินที่อินเดียเป็นเจ้าของหรือดำเนินการบินผ่าน เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา
การตัดสินใจนี้เป็นการตอบโต้ที่รุนแรงต่อการที่อินเดียระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุปี 2503 และลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นจากเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยว 26 รายในเมืองปาฮาลกัม รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ฝั่งอินเดีย เมื่อวันที่ 22 เม.ย. อินเดียกล่าวหาว่าปากีสถานอยู่เบื้องหลังการโจมตีโดยกลุ่ม The Resistance Front (TRF) ซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย Lashkar-e-Taiba ที่มีฐานในปากีสถาน ขณะที่ปากีสถานปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าให้การสนับสนุนเพียงด้านศีลธรรมและการทูตแก่ชาวแคชเมียร์
การปิดน่านฟ้าครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสายการบินอินเดียที่ต้องเผชิญกับความล่าช้า การยกเลิกเที่ยวบิน และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
การปิดน่านฟ้าปากีสถานกระทบสายการบินอินเดียอย่าง Air India, IndiGo, SpiceJet, Air India Express และ Akasa Air โดยเฉพาะเส้นทางจากเมืองทางตอนเหนือของอินเดีย เช่น เดลี มุมไบ ลัคเนา อัมริตสาร์ และชัยปุระ ไปยังยุโรป อเมริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชียกลาง
เที่ยวบินจากเดลีไปนิวยอร์กของ Air India ต้องแวะเติมน้ำมันที่โคเปนเฮเกนหรือเวียนนา ทำให้ใช้เวลาเพิ่มขึ้น 4-6 ชั่วโมง ขณะที่ IndiGo ต้องยกเลิกเที่ยวบินไปยังอัลมาตีและทาชเคนต์ตั้งแต่วันที่ 27-28 เม.ย. จนถึงอย่างน้อย 7 พ.ค. เนื่องจากเครื่องบิน Narrow-body หรือเครื่องบินลำตัวแคบ ไม่สามารถบินในเส้นทางที่ยาวขึ้นได้
เที่ยวบินไปตะวันออกกลาง เช่น เดลี-ดูไบ ใช้เวลาเพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมง - 2 ชั่วโมงครึ่ง และต้องบรรทุกน้ำมันเพิ่ม สายการบินอย่าง SpiceJet และ Air India Express รายงานว่าต้องลดน้ำหนักบรรทุกเพื่อรองรับเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารหรือสินค้าลดลง คาดว่ามีเที่ยวบินประมาณ 800 เที่ยวต่อสัปดาห์ของสายการบินอินเดีย จะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจากท่าอากาศยานนานาชาติอินทิรา คานธี ในเดลี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินที่พลุกพล่านที่สุดของอินเดีย
ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความล่าช้าที่อาจทำให้พลาดการต่อเครื่อง โดยเฉพาะในเส้นทางยุโรปและอเมริกาเหนือ ค่าโดยสารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8-12 เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ค่าโดยสารอาจพุ่งสูงกว่านี้ Air India และ IndiGo ได้ออกคำเตือนผ่านแพลตฟอร์ม X โดยแนะนำให้ผู้โดยสารตรวจสอบสถานะเที่ยวบินและเสนอทางเลือกในการจองใหม่หรือคืนเงินเต็มจำนวนสำหรับเที่ยวบินที่ถูกยกเลิก SpiceJet ยังเพิ่มเที่ยวบินจากศรีนาการ์ไปเดลีเพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบในแคชเมียร์ และให้การยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับการจองใหม่หรือยกเลิกจนถึงวันที่ 30 เม.ย.
สายการบินอินเดียเผชิญกับความสูญเสียทางการเงินที่อาจสูงถึง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐในหนึ่งเดือน เนื่องจากเชื้อเพลิงคิดเป็นร้อยละ 30 ของต้นทุนการดำเนินงาน และการบินอ้อมผ่านทะเลอาหรับ มัสกัต หรือโดฮา เพิ่มระยะทางและค่าใช้จ่ายอย่างมาก
ในทางกลับกัน ปากีสถานเองก็สูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมการบินผ่าน ซึ่งคาดว่าอาจสูญเสียวันละ 232,000-300,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยอิงจากตัวเลขในปี 2562 ที่สูญเสีย 100 ล้านดอลลาร์ใน 5 เดือน นอกจากนี้ ปากีสถานยังปิดน่านฟ้าบางส่วนภายในประเทศ เช่น เส้นทางอิสลามาบัด-ลาฮอร์ ระหว่างวันที่ 28-30 เม.ย. เพื่อการทดสอบทางทหาร ซึ่งอาจกระทบเที่ยวบินภายในประเทศของสายการบินอย่าง Pakistan International Airlines (PIA)
สายการบินต่างชาติ เช่น Emirates, Qatar Airways และ Turkish Airlines ซึ่งยังคงบินผ่านน่านฟ้าปากีสถานได้ อาจได้เปรียบด้านเวลาและต้นทุน ทำให้สายการบินอินเดียเสียส่วนแบ่งตลาด
รัฐบาลอินเดีย โดยรัฐมนตรีการบินพลเรือน K Ram Mohan Naidu ระบุว่ากำลังทำงานร่วมกับสายการบินเพื่อประเมินผลกระทบและหาเส้นทางสำรอง เช่น การบินผ่านจีนหรือรัสเซีย แม้ว่าจะมีข้อจำกัดด้านระยะทางและต้นทุน ขณะที่ปากีสถานยืนยันว่าการปิดน่านฟ้าจะมีผลจนถึงวันที่ 23 พ.ค. ตามประกาศ NOTAM ของสำนักงานการบินพลเรือนปากีสถาน แต่ระยะเวลาอาจขยายออกไปหากความขัดแย้งไม่คลี่คลาย
ความตึงเครียดยังคงเพิ่มขึ้น หลังจากกองทัพปากีสถานยิงโจมตีข้ามแนว Line of Control (LoC) เป็นวันที่ 6 ติดต่อกันโดยอินเดียตอบโต้อย่างหนัก สถานการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงความเสี่ยงของการลุกลาม โดยเฉพาะเมื่อทั้ง 2 ชาติเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์
การปิดน่านฟ้าครั้งนี้ไม่เพียงกระทบการเดินทางของผู้โดยสาร แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถาน ซึ่งมีรากเหง้ามาจากข้อพิพาทแคชเมียร์ตั้งแต่การแบ่งแยกดินแดนในปี 2490 ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่มีการเจรจาทางการทูตหรือการแทรกแซงจากนานาชาติ เช่น ธนาคารโลกหรือสหประชาชาติ วิกฤตอาจลุกลามไปไกลกว่าการปิดน่านฟ้าและการระงับสนธิสัญญาน้ำ
ที่มา : Hindustan Times, CNBC, Bloomberg, Reuters, India Today, Indian Express
อ่านข่าวอื่น :
วันนี้ (29 เม.ย.2568) ประชาชนในกรุงมาดริดของสเปน รวมถึงอีกหลายภูมิภาคเข้าแถวรอใช้บริการรถไฟตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น หลังจากผู้ให้บริการไฟฟ้าของสเปนกู้กระแสไฟฟ้ากลับมาได้แล้วมากกว่าร้อยละ 99 หลังจากเผชิญกับสภาวะไฟฟ้าดับนานหลายชั่วโมงเมื่อวานนี้ เช่นเดียวกับร้านค้าและร้านอาหารหลายแห่งที่กลับมาให้บริการแล้ว
กระทรวงพลังงานสเปน เปิดเผยว่าสเปนสูญเสียกำลังการผลิตไฟฟ้า 15 กิกะวัตต์ ภายใน 5 วินาที คิดเป็นร้อยละ 60 ของความต้องการในประเทศ โดยการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระดับดังกล่าว ทำให้โครงข่ายไฟฟ้าระหว่างสเปนกับฝรั่งเศสขาดการเชื่อมต่อ ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าของสเปนล่ม
ล่าสุด ผู้ให้บริการไฟฟ้าตัดความเป็นไปได้ว่าเกี่ยวกับการโจมตีทางไซเบอร์ออกไปแล้ว ขณะที่นายกรัฐมนตรีสเปน ระบุว่า เจ้าหน้าที่กำลังหาสาเหตุที่แท้จริง พร้อมทั้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวังข้อมูลเท็จ
นอกจากนี้มีรายงานว่า ในสเปนมีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 13 คน หลังเกิดเหตุไฟไหม้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับ ซึ่งเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าสาเหตุอาจจะมาจากการจุดเทียน
ส่วนที่โปรตุเกส รัฐบาลออกมายืนยันว่าสามารถกลับมาจ่ายกระแสไฟฟ้า รวมถึงน้ำประปาได้แล้ว ขณะที่การให้บริการเที่ยวบิน ระบบรถไฟใต้ดิน และการให้บริการด้านสุขภาพเริ่มกลับมาเป็นปกติเช่นกัน
ผู้ให้บริการไฟฟ้าโปรตุเกส ระบุว่า สาเหตุของไฟฟ้าดับอาจจะมาจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในสเปน ทำให้เกิดการสั่นผิดอย่างผิดปกติในสายไฟแรงสูง ส่งผลให้การเชื่อมต่อของโครงข่ายไฟฟ้าถูกรบกวน ขณะที่นายกรัฐมนตรีโปรตุเกส ระบุว่า ไม่พบความเชื่อมโยงกับการโจมตีทางไซเบอร์
เหตุไฟฟ้าดับครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนหลายล้านคนในสเปนและโปรตุเกส รวมถึงบางพื้นที่ของฝรั่งเศส ขณะที่บริษัทโทรคมนาคมของกรีนแลนด์ เปิดเผยว่า ไม่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ดาวเทียมในสเปนได้ ส่งผลให้การบริการโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ และวิทยุในภูมิภาคห่างไกลประสบเหตุขัดข้อง และไม่ทราบตัวเลขผู้ได้รับผลกระทบแน่ชัด
อ่านข่าว :
"มาร์ค คาร์นีย์" ประกาศคว้าชัยชนะศึกเลือกตั้งแคนาดา
ประกาศศักยภาพของการเป็นมือเจาะพื้นที่ “เลือกตั้งซ่อม” เต็มรูปแบบแล้ว สำหรับ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม หากเริ่มนับตั้งแต่การเลือกตั้งซ่อม นายก อบจ.ปราจีนบุรี หลังอดีต สจ.โต้ง “ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์” ถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านพักของ “โกทร” สุนทร วิลาวัลย์ นายก อบจ.ปราจีนบุรี เมื่อต้นเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
ต่อมา “โกทร” ถูกจับกุมตัว และพ้นจากตำแหน่ง นายก อบจ.ปราจีนบุรี ในเดือนก.พ.2568 จึงมีการเลือกตั้งนายก อบจ.คนใหม่ โดยพรรคเพื่อไทยส่ง “สจ.จอย” น.ส.ณภาภัช อัญชสาณิชมน ภรรยาของอดีตสจ.โต้งลง คะแนนนำโด่งม้วนเดียวจบ ได้นั่งตำแหน่งนายก อบจ. กลายเป็นสร้าง “ซุ้มใหม่การ เมือง” ภายใต้การสนับสนุนของ ร.อ.ธรรมนัส
การขยายอิทธิพลในสนามการเมืองระดับท้องถิ่น ปฎิเสธไม่ได้ว่า “ร.อ.ธรรมนัส เป็นมือทำงานเสมือน “ขุนพล” คนหนึ่งของอดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
แม้จะเคยประกาศชัดเจนว่าพรรคกล้าธรรมไม่ใช่สาขาของพรรคเพื่อไทย เฉกเดียวกับพรรคประชาชาติของ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ที่เข้าไปครองใจคนสามจังหวัดชายแดนใต้ จนคว้าเก้าอี้สส.ได้หลายที่นั่ง
แต่ ร.อ.ธรรมนัส ก็ไม่เคยตอบรับและไม่ได้ปฏิเสธเสียทีเดียว “จากกระแสข่าวที่ว่าพรรคกล้าธรรมเป็นพรรคสาขาของพรรคใดพรรคหนึ่ง อยากจะกราบเรียนว่า พรรคกล้าธรรมคือพรรคกล้าธรรม เพราะกล้าทำในสิ่งที่เรากล้าคิด กล้าวางแผน และกล้าตัดสินใจ”
ว่าไปแล้ว ในยุคที่พรรคพลังประชารัฐ และ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังเรืองอำนาจ “ร.อ.ธรรมนัส” ได้รับการมอบหมายให้เป็นแม่ทัพใหญ่ จัดกำลังพล คุมกำลังรบดูแลและจัดการการเลือกตั้งในพื้นภาคใต้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ สส.พะเยาคนนี้ จะมักคุ้นกับคนการเมืองในแดนสะตอ ด้วยว่าผ่านประ สบการณ์ในสนามเลือกตั้งซ่อมที่ภาคใต้มาแล้วถึง 3 สนาม ในเขต จ.นครศรี ธรรมราช, สงขลา และชุมพร
“ที่หนองบัวลำภู เราสามารถล้มแชมป์เก่า (นายก อบจ.) ได้ และจังหวัดล่าสุด คือสมุทรสงคราม ผมกับ ส.ส.หลายคนได้เดินทางไปปฏิบัติการอย่างลับ ๆ มีการประชุมผู้นำท้องถิ่นจนชนะอย่างไม่คาดคิด หลายพรรคไปเคลมว่าเป็นของพรรคโน้นพรรคนี้ จริง ๆ แล้วชัยชนะเป็นของพรรคกล้าธรรม” คำพูดของร.อ.ธรรมนัส ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งที่ 1/2568 เมื่อต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ชัยชนะของ “โอ” ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ พรรคกล้าธรรม แม้จะเป็นครั้งแรกที่พรรคกล้าธรรมได้สส.ในเขตนี้ แต่เอาเข้าจริง มีหลายปัจจัยที่ทำให้ “โอ” ก้องเกียรติ เอาชนะ”ไสว เลื่องศรีนิล” พรรคภูมิใจไทย และพ่อตา “ชินวรณ์ บุญยเกียรติ” เจ้าถิ่นเก่า อย่างพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาได้
นอกจากความได้เปรียบในฐานะคนพื้นที่ ที่ไต่เต้าจากตำแหน่งสารวัตรกำนัน ต.ละอาย อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อปี 2557 และเติบโตในสนามการเมืองท้องถิ่น จนได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช (สจ.) อ.ฉวาง เขต 1 เมื่อปี 2563 เคยร่วมทีมทำงานกับ “กนกพร เดชเดโช” อดีตนายก อบจ.นครศรีธรรมราช มารดาของ “ชัยชนะ เดชเดโช” สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
แม้จะเป็นสมาชิกพรรคสีฟ้่ามาก่อน แต่ต่อมา “โอ” ก้องเกียรติ ตัดสินใจลาออกมาสมัครรับเลือกตั้ง สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช และได้รับเลือกเป็นสส. สังกัดอยู่ใต้ร่มเงาของ “ร.อ.ธรรมนัส” แห่งพรรคกล้าธรรม จะเห็นได้ว่า ชัย ชนะของ “โอ”ก้องเกียรติ ถือเป็นการสร้างฐานการเมืองสำคัญในพื้นที่ภาคใต้ของร.อ.ธรรมนัส หลังเคยเข้าไปหยั่งเชิงในสนามเลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาและนราธิวาสมาแล้ว
กลับมาที่ค่ายสีน้ำเงิน “ภูมิใจไทย” ส่ง “ไสว เลื่องศรีนิล” สามีของ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” ซึ่งถูกศาลฎีกามีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และสั่งชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งจำนวน 8.4 ล้านบาท เนื่องจากกระทำการทุจริตซื้อเสียง และการเลือกตั้งครั้งนี้ “ไสว” ต้องพ่ายให้กับ โอ “ก้องเกียรติ”
แต่ “โกเกี๊ยะ” พิพัฒน์ รัชกิจประการ ในฐานะแกนนำพรรคภูมิใจไทยที่รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ กลับบอกเพียงว่า ต้องยอมรับ สิ่งที่ชาวบ้านคิดและตัดสินใจเลือกแล้ว ก็ต้องยอมรับ...แต่การเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าจะต้องมีการปรับแผนใหม่ เนื่องจากบริบทเปลี่ยนไปแล้วและหลายพรรคอาจจะมีการปรับเรื่องของท่าที
“ครั้งที่ผ่านมา เราได้คะแนน 23,000 กว่าคะแนน แต่ครั้งนี้ได้ 28,000 กว่าคะแนน ถือได้ว่าสส.ในพื้นที่ยังครองใจชาวบ้านในพื้นที่ได้ รู้สึกสบายใจ ได้คะแนนเพิ่มขึ้น 5,000 กว่าคะแนน แต่ 2 อำเภอที่แพ้ต้องไปทำการบ้านใหม่ คือ อ.พิบูล และอ.ฉวาง จึงต้องทบทวนตัวเอง และพยายามต่อไป” แกนนำพรรคภูมิใจไทยระบุ
ถือเป็นลงสนามประลองกำลังของทุกพรรคการเมือง ก่อนของจริงจะมาถึงในปี 2570 ในนิยามที่สนามการเมืองพื้นภาคใต้ที่เปลี่ยนไป เมื่อผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 สะท้อนให้เห็นชัดว่า ค่ายพรรคสีฟ้า “ประชาธิปัตย์” ไม่สามารถครองใจชาวบ้านในพื้นที่ได้อีกต่อไป หลายพื้นที่เปิดรับตัวแทนจากพรรคภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ ประชาชาติและกล้าธรรม
คาดการณ์กันว่า หากรัฐบาลอยู่ครบเทอม การเมืองใน 14 จังหวัดภาคใต้ ยังต้องร้อนระุอุและน่าติดตาม เพราะการปักธงได้สส.ใน จ.นครศรีธรรมราชในครั้งนี้ ไม่เพียงทำให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ก้าวขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่ข้างกายของค่ายสีแดงเท่านั้น
แต่ในจังหวัดอื่น ๆ พื้นที่ที่พรรคเพื่อไทยเข้าไปไม่ถึง จะถูกเว้นช่องให้ ”กล้าธรรม”จะเข้าไป “เจาะ” สร้างซุ้มใหม่ให้ใหญ่ในทางการเมืองได้ ดังจะเห็นจากความเคลื่อนไหวของในการลุยตั้งตัวแทนพรรคกล้าธรรม ทั้งที่ จ. มุกดาหาร นครราชสีมา นครสวรรค์ ยะลา สุโขทัยและพิจิตร ที่เปิดรับสมาชิกกันอย่างคึกคัก
โดยทุกพรรคจะมองข้ามและประมาทมิได้เด็ดขาด เพราะไม่ใช่ต้องสู้กับกระแสอย่างเดียว แต่ยังต้องรบกับกระสุนดินดำ และกองส่งบำรุงกำลังเต็มอัตราอีกด้วย
อ่านข่าว:
ศึกหนักรัฐบาล “ตัดงบ3.5 หมื่นล้าน” ผิดรธน.144 รีเซ็ตครม.ยกชุด
กระชับพื้นที่ “อั้งยี่-ฟอกเงิน” ดีเอสไอ เปิดเกมไล่บี้ “สว.สีน้ำเงิน”