หมู่ 10 บ้านพุวิเศษ ต.เขากะลา อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ 60130 081-4161915 saichontangthai@gmail.com วันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 09.00 น. - 16.00 น.
ครู กศน.ตำบลเขากะลา

IMG 8622.jpq

นางสาวสายชล  แตงไทย

ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลเขากะลา

 เบอร์โทร 056-267-523

 

 

ข่าวประชาสัมพันธ์ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนครสวรรค์

ข่าวประชาสัมพันธ์ทั่วไป

21 พฤษภาคม 2568

การศึกษา, เรียน สกร., รับสมัครนักศึกษา, สกร.นครสวรรค์, สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนครสวรรค์
แพลตฟอร์ม กศน.นครสวรรค์

จำนวนผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์
031890
วันนี้
เมื่อวานนี้
สัปดาห์นี้
สัปดาห์ที่แล้ว
เดือนนี้
เดือนที่แล้ว
ผู้เข้าชมทั้งหมด
32
29
125
31374
809
932
31890

Your IP: 192.168.1.1
2025-05-21 10:02

ศกร.ตำบลเขากะลาเปิดรับนักศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567

ครู กศน.ตำบล

ข่าวประชาสัมพันธ์ ไทยพีบีเอส

ข่าวไทยพีบีเอส - home

21 พฤษภาคม 2568

ข่าวที่คุณวางใจ โดยสำนักข่าวไทยพีบีเอส ติดตามข่าวและสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศได้ที่นี่่
  • สรุปราคาทองคำ 21 พ.ค.2568 ปิดตลาด บวก 650 บาท ผันผวน 14 ครั้ง
    21 พฤษภาคม 2568

    วันนี้ ( 21 พ.ค. 2568) ราคาทองคำโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 3,320 ดอลลาร์แรงหนุนหลักมาจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ หลังความพยายามของพรรครีพับลิกันในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของทรัมป์สะดุด เนื่องจากสมาชิกสายอนุรักษนิยมเรียกร้องให้ตัดงบ Medicaid เพิ่ม แลกกับการสนับสนุนร่างกฎหมาย ขณะเดียวกันยังมีความกังวลว่าเนื้อหาของร่างฯ อาจทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูง จนต้องเลื่อนการลงคะแนนออกไป

    นอกจากนี้ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกและคลีฟแลนด์ ได้แสดงความเห็นในงานประชุม Financial Markets Conference ที่รัฐฟลอริดาว่า เฟดควรอยู่ในจุดยืนที่ “เป็นกลาง” และพร้อมปรับตัวอย่างยืดหยุ่น หากมีข้อมูลใหม่สนับสนุน แต่จะไม่ปรับนโยบายอย่างเร่งรีบหากยังไม่มีความจำเป็น

    ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ 49,500 และ 49,000 บาทแนวต้าน 51,350 และ 51,700 บาท ทองคำในประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นมาในช่วงเช้า ดูยังคงติดแนวต้านเช่นเดิม โดยยังแนะนำใช้กลยุทธ์เชิงรับรอเข้าซื้อสะสมบริเวณแนวรับที่ 49,000-49,500 บาท

    สรุปราคาทองคำ วันที่ 21 พ.ค. 2568

    ครั้งที่ 14 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 52,100 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,300 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,285.72 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,100 บาท

    ครั้งที่ 13 ลบ 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,150 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,250 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,225.08 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,050 บาท

    ครั้งที่ 12 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,200 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,300 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,285.72 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,100 บาท

    ครั้งที่ 11 ลบ 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,150 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,250 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,225.08 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,050 บาท

    ครั้งที่ 10 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,200 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,300 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,285.72 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,100 บาท

    ครั้งที่ 9 บวก 100 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,150 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,250 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,225.08 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,050 บาท

    ครั้งที่ 8 ลบ 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,050 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,150 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,134.12 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,950 บาท

    ครั้งที่ 7 ลบ 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,100 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,200 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,179.6 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,000 บาท

    ครั้งที่ 6 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,150 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,250 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,225.08 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,050 บาท

    ครั้งที่ 5 ลบ 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,100 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,200 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,179.6 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,000 บาท

    ครั้งที่ 4 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,150 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,250 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,225.08 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,050 บาท

    ครั้งที่ 3 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,100 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,200 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,179.6 บาท
    • ขายออก บาทละ 52,000 บาท

    ครั้งที่ 2 บวก 50 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,050 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,150 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,134.12 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,950 บาท

    ครั้งที่ 1 บวก 450 บาท

    ทองแท่ง
    • รับซื้อ บาทละ 51,000 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,100 บาท

    ทองรูปพรรณ
    • รับซื้อ บาทละ 50,088.64 บาท
    • ขายออก บาทละ 51,900 บาท

    อ่านข่าว:

    ราคา “ทองคำ” กรอบบ่าย + 650 “รูปพรรณ” รับซื้อทะลุบาทละ 50,000

    สรุปราคาทองคำ 20 พ.ค.2568 ปิดตลาด ลบ 50 บาท ผันผวน 14 ครั้ง

    ราคา “ทองคำ” ลบ 150 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 51,350 บาท

     

  • ลุ้น 22 พ.ค.ศาลนัดชี้ขาด "ยิ่งลักษณ์" ชดใช้คดีจำนำข้าว 3.5 หมื่นล้าน
    21 พฤษภาคม 2568

    วันนี้ (21 พ.ค.2568) ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ กระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลางที่สั่งเพิกถอน คำสั่งกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 13 ต.ค.2559 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ เป็นเงิน 35,717 ล้านบาทในวันพรุ่งนี้ (22 พ.ค.)

    โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยสามี ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

    เนื่องจากศาลปกครองกลางในขณะนั้นเห็นว่า กระทรวงการคลังยอมรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงและขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ทำให้กระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์ต่อ

    สำหรับคดีที่จำนำข้าว ที่เกี่ยวข้องกับ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น ถูกดำเนินคดีใน 2 ส่วนคือคดีอาญาซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก น.ส.ยิ่งลักษณ์ 5 ปีในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นเหตุให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีคดีออกจากไทยมาจนถึงขณะนี้

    ส่วนคดีทางปกครองหรือทางแพ่งนั้นถูกกระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชดใช้ความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวกว่า 35,000 ล้านบาท พร้อมกับออกคำสั่งอายัดทรัพย์ซึ่งมีการอายัดทรัพย์สินไปแล้วบางส่วนก่อนหน้านี้

    ส่วนคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายจำนำข้าว มีถูกกล่าวหา 2 คนคือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ และ นายภูมิ สาระผล ซึ่งทั้งคู่ถูกศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกไปแล้ว 42 ปี และ 36 ปี ตามลำดับ ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเรื่อยมา กระทั่งได้รับการพักโทษเมื่อปี 2567-2568 ที่ผ่านมา

    อ่านข่าว :

    "ยิ่งลักษณ์" เหลือคดีเดียวคุก 5 ปี ย้อนเส้นทางก่อนหนีคดี

    เคาะกรอบถกงบฯ 69 วันที่ 28-31 พ.ค. รวม 41 ชม. ฝ่ายละ 20 ชม.

    "สว.สำรอง" ยื่นคำร้อง กกต.จี้ทบทวนสั่ง​ "แสวง" ยุติปฏิบัติหน้าที่

  • พณ.ปูพรมล่า “นอมินี” 4.69 หมื่นราย ตั้ง “สุชาติ” ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ
    21 พฤษภาคม 2568

    วันนี้ ( 21 พ.ค.2568) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 5 (3/2568) โดยที่ประชุมได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดกับสินค้านำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน การดำเนินธุรกิจแบบนอมินี การขายสินค้าต่างชาติผิดกฎหมายทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ และการส่งเสริมให้เกิดการใช้แรงงานไทยและวัตถุดิบในประเทศ พร้อมผลักดันให้ภาคเอกชนใช้ประโยชน์จาก FTA อย่างเต็มที่

    นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย

    โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้คณะกรรมการฯ ได้ดำเนินคดีกับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานและผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 39,186 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,074 ล้านบาท และสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้าที่ต่ำกว่า 1,500 บาทได้ถึง 1,796 ล้านบาท พร้อมกันนี้ได้ ดำเนินมาตรการ Notice and Takedown ถอดสินค้าผิดกฎหมายจากแพลตฟอร์มออนไลน์แล้วกว่า 10,378 รายการ ส่วนการปราบปรามธุรกิจนอมินีมีการดำเนินคดีรวม 857 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 15,288 ล้านบาท

    นอกจากนี้ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และพลตำรวจโท พิทยา ศิริรักษ์ เป็นที่ปรึกษาเพิ่มเติมใน 2 คณะอนุกรรมการ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) และคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ SME ไทย และแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการทำงานเชิงรุกและลงพื้นที่ทั่วประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มหน่วยงานในคณะอนุกรรมการและคณะทำงาน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกมิติ

    นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์

    ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก มีความเสี่ยงสูงที่สินค้าผิดกฎหมายและไม่มีคุณภาพจะทะลักเข้าสู่ไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SME อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    รมว.พาณิชย์กล่าวอีกว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็น โดยเฉพาะสินค้าที่ขายในประเทศจะต้องระบุแหล่งที่มาของสินค้า และมีการแข่งขันด้านราคาอย่างเป็นธรรม ซึ่งคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ก็จะเข้ามาบูรณาการใช้กฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมด้วยอย่างจริงจัง พร้อมเร่งรัดให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

    ด้านนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ปัญหาสินค้านำเข้าและธุรกิจนอมินีสะสมในมานานกว่า 10 ปี สาเหตุหลักมาจากกฎหมายไทยที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบการค้าโลก และไม่สามารถเอาผิดกับบริษัทที่ใช้คนไทยถือหุ้นแทนต่างชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์

    โดยแนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ จะมุ่งล้างปัญหานอมินีเดิม ซึ่งแบ่งกลุ่มบริษัทที่มีต่างชาติถือหุ้นตั้งแต่ 0.01 – 49.99% ออกเป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.การท่องเที่ยว 2.อสังหาริมทรัพย์ 3.อีคอมเมิร์ซ ขนส่ง และคลังสินค้า 4. โรงแรมและรีสอร์ท 5.การเกษตร และ6.การก่อสร้าง

    จากข้อมูลพบว่ามีบริษัทกลุ่มเสี่ยงกว่า 46,918 ราย กระทรวงฯจะตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดขึ้นในทุกจังหวัด ซึ่งมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นประธาน และมีพาณิชย์จังหวัดเป็นฝ่ายเลขานุการ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเข้มงวด ทั้งที่มาของเงินทุน ความสามารถในการประกอบธุรกิจ และความเชื่อมโยงกับชาวต่างชาติ

    สำหรับบริษัทใหม่ที่จดทะเบียนในอนาคต จะมีการเสนอปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มบทลงโทษต่อธุรกิจนอมินีถึงขั้นยึดทรัพย์ และจะเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อผลักดันเข้าสู่รัฐสภาโดยเร็ว รวมถึงประสานในทุกวาระ เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด ซึ่งการดำเนินการจะเป็นไปอย่างจริงจังและเชิงรุก โดยให้แต่ละจังหวัดดำเนินการตรวจสอบบริษัทให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน และในจังหวัดที่มีบริษัทที่อยู่ในข่ายเป็นจำนวนมากจะให้รายงานผลความคืบหน้าเป็นไตรมาสต่อไป

    อ่านข่าว:

     ไทย 1ใน 25 "ตลาดเกิดใหม่" น่าลงทุน คลังชี้ไทย-USA สัมพันธ์ปึ้ก

    อุตฯรถยนต์ไทย "โอกาส-ท้าทาย" สนค.ชี้ไทยต้องปรับตัวรองรับตลาดโลก

    รัฐบาลเลื่อนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท เฟส 3 ไม่มีกำหนด

  • มูลนิธิสืบฯ ห่วงเริ่ม "กระเช้าภูกระดึง" ผุดสิ่งปลูกสร้างกระทบนิเวศ
    21 พฤษภาคม 2568

    กรณี รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา แถลงข่าวเดินหน้าแผนงาน 8 ขั้นตอน โครงการกระเช้าไฟฟ้าภูกระดึง ย้ำต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง ทำ EIA คาดเริ่มก่อสร้างเดือน พ.ย.2570

    วันนี้ (21 พ.ค.2568) น.ส.อรยุพา สังขะมาน เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า ไม่เห็นด้วยกับโครงการก่อสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง เนื่องจากกังวลว่าสิ่งก่อสร้าง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ จะตามมาหลังการก่อสร้างกระเช้าฯ ตามที่อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีแนวคิดให้บริการรถยนต์ไฟฟ้า ลักษณะแบบรถกอล์ฟ ชมจุดท่องเที่ยวด้านบน และการนั่งรถซาฟารี ในโซนที่มีช้างออกมา จึงห่วงในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว 

    กระเช้าภูกระดึง จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ตามมาแน่

    เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กล่าวว่า กรณีอ้างความเท่าเทียมของผู้คนเพื่อก่อสร้างกระเช้าฯ นั้น แต่ละจุดไฮไลท์ท่องเที่ยวด้านบนค่อนข้างห่างกัน เช่น ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ดูใบเมเปิ้ล ระยะทางตั้งแต่ 2-12 กิโลเมตร จึงตั้งคำถามว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่สุขภาพไม่แข็งแรง หรือผู้สูงอายุ จะเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ อย่างไร

    อีกทั้งเมื่อปี 2566 "ภูกระดึง" ถูกรับรองการขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกอาเซียน แต่ไม่ใช่เพียงอุทยานฯ แห่งที่ 2 ของไทย และมีพรรณไม้ชนิดใหม่ของโลก เช่น ดอกหรีดกอ หญ้าบัวแบ กระดุมภูกระดึง จึงถือว่ามีคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ค่อนข้างมาก

    น.ส.อรยุพา ยังตั้งคำถามถึงการบริหารจัดการ และจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวว่าทำได้จริงหรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทบระบบนิเวศ และให้ธรรมชาติฟื้นตัว เพราะส่วนตัวมองว่าเสน่ห์ของภูกระดึง คือ การเดินขึ้น ไปชมพรรณไม้และแมลงที่สวยงามและมีคุณค่า เพราะบางต้นอยู่ริมทางเดินและเสี่ยงถูกเหยีบย่ำหากคุมจำนวนนักท่องเที่ยวไม่ได้

    การย้อนไปดูเอกสารโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง เมื่อปี 2568 หรือ 10 ปีก่อน พบว่าผลประโยชน์ที่ทำให้การลงทุนโครงการฯ มีความคุ้มค่า ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของ "ผลประโยชน์ทางอ้อม" เช่น การสร้างรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่โดยรอบ เนื่องการลงทุนจะทำให้นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น การจัดตั้งศูนย์การศึกษาเรียนรู้ธรรมชาติ พื้นที่ 1 ไร่

    ส่วนในรายงานเล่มเก่า ยังระบุว่า ค่ากระเช้าขึ้น-ลงของนักท่องเที่ยวคนไทย เที่ยวละ 200 บาท และค่าเข้าศูนย์ศึกษาธรรมชาติฯ 100 บาท รวม 500 บาท จึงตั้งคำถามถึงความเต็มใจจ่ายในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

    น.ส.อรยุพา กล่าวว่า ตั้งคำถามการชู "วันเดย์ทริป" ท่องเที่ยวแบบไม่พักค้าง กลับไม่สอดคล้องกับไฮไลท์การท่องเที่ยวทั้งการดูพระอาทิตย์ขึ้นและตก ยกตัวอย่างวันธรรมดาเปิดให้ขึ้นภูกระดึง เวลา 09.00-12.00 น. และ 13.00-18.00 น. แต่วันหยุดรอบบ่ายเปิดเวลา 13.00-20.00 น.

    ควรพิจารณาแต่ละกระบวนการอย่างรอบคอบ เพราะใช้เงินไม่น้อยในการศึกษาฯ และจัดทำ EIA แต่โครงการนี้เริ่มตั้งแต่พี่ยังเกิดด้วยซ้ำ ผ่านการศึกษาและผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการหลายปีแล้ว ก็ต้องมีคำถามแล้วว่าโครงการนี้เหมาะสมหรือไม่ เพราะถ้าคุ้มและดีจริงก็ถูกสร้างไปนานแล้ว

    อ่านข่าว : "สรวงศ์" เคาะไทม์ไลน์ 2 ปี ปักหมุดสร้าง "กระเช้าภูกระดึง" 

    นักอนุรักษ์ ตั้งคำถามความคุ้มค่า สร้าง "กระเช้าภูกระดึง" 

    ไม่ใช่แค่หนึ่ง นักวิจัยขึ้น-ลง 15 ครั้ง สำรวจพบ "เฟิร์นชนิดใหม่" ภูกระดึง 

    “กระเช้าภูกระดึง” ไทม์ไลน์ 43 ปี ยังไม่มีข้อสรุป “สร้าง-ไม่สร้าง”