นางสาวเขมรัตน์ แสงสุนทร
ตำแหน่ง ครู กศน.ตำบลหนองตางู
เบอร์โทร 0826194929
โควิดลงปอด อาการเป็นอย่างไร?
.
สังเกตอาการเชื้อโควิดลงปอดแล้วหรือยัง?
>> ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด หลายคนคงสงสัยว่า ตนเองมีอาการอยู่ในกลุ่มไหน
>> อาการหนักหรือไม่
>> มีภาวะเชื้อไวรัสลงปอดหรือยัง
.
วิธีเช็กอาการโควิดลงปอด
>> วิธีเช็กอาการโควิดลงปอด เดินไปมา ลุกยืนหรือลุกนั่ง 3 ครั้ง หรือ กลั้นหายใจ 10-15 วินาที หากทําแล้วเหนื่อย และวัดออกซิเจนในเลือดได้ต่ํากว่า 94 ลงไป ให้สงสัยว่าเชื้อโควิดลงปอดไว้ก่อน
.
ข้อมูลจาก : นายแพทย์ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอด
การปลูกถ่ายปอด และวิกฤติบำบัด สหรัฐอเมริกา
ประวัติของกล้วย
ประเภทของกล้วย
กล้วย ทั่วโลกมีกล้วยอยู่ประมาณ 200-300 ชนิด สำหรับชนิดของกล้วยที่มีในประเทศไทยนั้นได้เก็บรวบรวมพันธุ์ไว้เมื่อปี พ.ศ.2524
ชึ่งแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้
1. กล้วยป่าออร์นาตา ปลูกกันแถบภาคเหนือ นิยมเรียก “กล้วยบัว” หรือ บางท้องถิ่นเรียกว่า “กล้วยป่า” (ลำปาง)
2. กล้วยป่าอะคิวมินาตา กล้วยในกลุ่มนี้มีแพร่หลายในประเทศไทย แต่ละถิ่นอาจเรียกชื่อต่างกัน เช่น ที่จังหวัดสงขลา เรียก “กล้วยทอง”
ที่จังหวัดแพร่ จังหวัดอุตรดิตถ์และจังหวัดลำปาง เรียก “กล้วยแข”
3. กล้วยในสายพันธุ์อะคิวมินาตา คัลทิฟาร์ กล้วยในกลุ่มนี้ มีหลายชนิด ได้แก่
กล้วยเล็บมือนาง ปลูกกันมากในภาคใต้ บางท้องถิ่น เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก “กล้วยหมาก” จังหวัดพัทลุง เรียก “กล้วยทองหมาก”
ส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เรียก “กล้วยเล็บมือ” กล้วยทองร่วง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก “กล้วยไข่ทองร่วง” ที่จังหวัดสงขลา เรียก “ค่อมเบา”
กล้วยไข่ ปลูกกันทั่วไป ที่จังหวัดสุรินทร์ เรียก “เจ็กบง”
กล้วยหอม ปลูกในสวนหลังบ้านแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กล้วยหอมทองสาน ปลูกมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กล้วยสา ปลูกกันมากภาคใต้
กล้วยนมสาว ปลูกกันมากภาคใต้
กล้วยลาย ปลูกกันมากภาคใต้
กล้วยทองกาบดำ ปลูกกันมากภาคใต้เช่นกัน
กล้วยนาก กล้วยชนิดนี้มีการเรียกต่างกันหลายแห่ง ที่จังหวัดพะเยาและจังหวัดแพร่ เรียก “กล้วยน้ำครั่ง” จังหวัดนครศรีธรรมราชเรียก “กล้วยกุ้ง”
ส่วนที่จังหวัดสุรินทร์ เรียก “กล้วยครั่ง”
กล้วยหอมทอง ที่จังหวัดจันทบุรี เรียก “หอมทอง” นิยมรับประทานสดมากที่สุด
กล้วยหอมเขียว ที่จังหวัดแพร่ เรียกกล้วยคร้าว จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก “กล้วยเขียวคอหักหรือกล้วยเขียว” ส่วนที่จังหวัดพะเยา เรียก “กล้วยหอมคร้าว”
กล้วยกุ้งเขียว เป็นลูกผ่าเหล่าของกล้วยนาก ที่จังหวัดแพร่ เรียก “กล้วยหอมทอง”กล้วยหอมค่อม ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดอุบลราชธานี เรียก “กล้วยเตี้ย” จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกกล้วยไข่บอง ที่จังหวัดนครราชสีมา เรียก “กล้วยไข่พระตะบอง”
กล้วยดอกไม้ เมื่อสุกผลจะเป็นสีทอง จัดอยู่พวกเดียวกับกล้วยหอมทอง
4. กล้วยป่าบาลบิเชียน่า นิยมเรียก “กล้วยตานี” มีแพร่หลายทั่วประเทศไทย ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก “กล้วยพองลา”
ส่วนที่จังหวัดแพร่และจังหวัดลำปาง เรียก “กล้วยป่า”
5. กล้วยลูกผสมอะคิวมินาตากับบาลบิเชียน่า กล้วยในกลุ่มนี้ มีหลายชนิด ได้แก่
กล้วยลังกา ที่จังหวัดพัทลุง เรียก “กล้วยจีน”
กล้วยเงิน เป็นกล้วยที่หาพันธุ์ยาก มีเฉพาะที่จังหวัดสงขลากล้วยน้ำพัด ที่จังหวัดจันทบุรี เรียก “กล้วยน้ำกาบดำ”
กล้วยทองเดช มีการปลูกมากในจังหวัดสงขลากล้วยนางนวล มีการปลูกมากในจังหวัดสงขลากล้วยไข่โบราณ มีเฉพาะที่จังหวัดตราด เป็นกล้วยที่หาพันธุ์ยากเช่นกันกล้วยน้ำ มีหลายถิ่นเรียกต่างกัน ที่จังหวัดนครนายก เรียก “กล้วยหอมนางนวล” จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียก “กล้วยแก้ว” จังหวัดสกลนายกและจังหวัดชัยภูมิ เรียก “กล้วยหอม” จังหวัดยโสธร เรียก “กล้วยหอมเล็ก” และที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียก “กล้วยหอมจันทร์”กล้วยขม เป็นกล้วยที่มีรสขมเช่นเดียวกับ ชื่อ ปลูกมากที่ภาคใต้กล้วยขมนาก ปลูกมากแภบภาถใต้
กล้วยร้อยหวี หรือ กล้วยงวงช้าง ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย นิยมเป็นไม้ประดับกล้วยนมหมี ที่จังหวัดอ่างทอง เรียก “กล้วยแหกคุก”กล้วยปลวกนา
มีการปลูกมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดนครนายก เรียก “กล้วยน้ำไทย” จังหวัดยโสธร เรียก “กล้วยส้ม”
กล้วยน้ำว้า ปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย ที่จังหวัดแพร่ เรียก “กล้วยน้ำว้าเหลือง” จังหวัดเชียงราย เรียก “กล้วยใต้”กล้วยน้ำว้าค่อม มีลักษณะแคระ กลายพันธุ์มาจากกล้วยน้ำว้ากล้วยน้ำว้าขาว เนื้อของผลมีสีขาว กลายพันธุ์มาจากกล้วยน้ำว้ากล้วยน้ำว้าแดง เนื้อของผลมีสีแดง กลายพันธุ์มาจากกล้วยน้ำว้าเช่นกัน บางทีเรียกต่างกัน ที่จังหวัดชัยภูมิ เรียก “กล้วยอ่อง” จังหวัดนครสวรรค์ เรียก “กล้วยสุกไสแดง” ส่วนจังหวัดแพร่ เรียก “กล้วยน้ำว้าในออก”กล้วยเทพรส ที่จังหวัดเชียงราย เรียก “กล้วยทิพย์คุ้ม”กล้วยพญา มีการปลูกมากในจังหวัดสงขลากล้วยส้ม ที่จังหวัดจันทบุรี เรียก “กล้วยหักมุก”
กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมาย มีทั้งเส้นใยอาหาร โพแทสเซียม แคลเซียม และยังมีโพรไบโอติกที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ เพียงรับประทานกล้วยน้ำว้าวันละหนึ่งลูกจึงช่วยป้องกันและรักษาได้สารพัดโรค และนี่คือ 10 ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า ของดีใกล้ตัวคุณ!!
1.รักษาโรคกระเพาะอาหาร
กล้วยน้ำว้าดิบสามารถช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร เพราะในกล้วยดิบมีสารที่ชื่อว่า แทนนิน มีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และยังมีสารอีกตัวที่สำคัญคือ เซโรโทนิน ที่จะช่วยกระตุ้นให้กระเพาะอาหารผลิตเยื่อเมือกมากขึ้น จึงช่วยเคลือบแผลที่กระเพาะ ลดการระคายเคือง และลดความแสบร้อนลงได้
2. ดับกลิ่นปาก
กล้วยสุกสามารถดับกลิ่นปากได้ดี เพียงรับประทานก่อนสุกในตอนเช้าแล้วจึงแปรงฟัน ทานติดต่อกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ รับรองว่าช่วยระงับกลิ่นปากให้หายไปได้
3.ผลไม้สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
กล้วยน้ำว้าสุกมีดัชนีน้ำตาลต่ำ มีค่า GI เพียง 37 การรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกจึงช่วยให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลไปใช้อย่างช้าๆ กล้วยน้ำว้าจึงเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
4.มีแคลเซียมสูง
กล้วยน้ำว้าอุดมไปด้วยแคลเซียม เมื่อนำกล้วยไปผ่านความร้อน เช่น กล้วยต้ม กล้วยปิ้ง กล้วยบวชชี ร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น 5-6 เท่า
กล้วยน้ำว้าสุกช่วยแก้อาการท้องผูกเพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น อุจจาระนิ่ม จึงช่วยป้องกันโรคริดสีดวงทวาร
กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูงซึ่งจะไปช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง จึงช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
7.รักษาโรคซึมเศร้า
กล้วยสุกมีสารทริปโตเฟนที่จะช่วยคลายเครียด รู้สึกผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล อารมณ์ดีขึ้น จึงสามารถช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดี
8. ช่วยให้นอนหลับสบาย
หากใครที่นอนไม่หลับให้ลองรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกก่อนนอนก็จะช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ทำให้นอนหลับสบายตลอดคืน
9. แก้ท้องเสีย
กล้วยน้ำว้าดิบมีสารแทนนินซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เพียงนำผงกล้วยน้ำว้าดิบมาชงดื่มก็จะช่วยแก้อาการท้องร่วง แก้ท้องเสียได้
10. กระตุ้นระบบย่อยอาหาร
กล้วยน้ำว้าสุกนั้นมีประโยชน์ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารทำให้ย่อยง่ายมากขึ้น เนื่องจากแป้งทนการย่อยจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเมื่อกล้วยสุก
กล้วยน้ำว้า 1 ผลเล็ก น้ำหนักส่วนที่กินได้ 40 กรัม ให้คุณค่าทางสารอาหาร ดังนี้
-พลังงาน 59 กิโลแคลอรี
-น้ำ 25 กรัม
- น้ำตาล 9 กรัม
- ใยอาหาร 0.9 กรัม
-เบต้าแคโรทีน 22 ไมโครกรัม
-วิตามินซี 4 มิลลิกรัม
-โปแตสเซียม 128 มิลลิกรัม
นอกจากประโยชน์ของกล้วยน้ำว้าที่เป็นผลไม้แล้ว ต้นกล้วยน้ำว้ายังมีประโยชน์ด้านสุขภาพเกือบทุกส่วน ดังนี้
ราก : แก้ขัดเบา
ต้น : ห้ามเลือด แก้โรคไส้เลื่อน
ใบ : รักษาแผลสุนัขกัด ห้ามเลือด
ยางจากใบ : ห้ามเลือด สมานแผล
หัวปลี (ช่อดอกกล้วย) : ขับน้ำนม
กล้วยน้ำว้าดิบ
เปลือกภายนอกสีเขียวเข้ม ช่วยแก้โรคกระเพาะได้ดีเนื่องจากมีสารแทนนิน ซึ่งมีฤทธิ์ในการเคลือบรักษากระเพาะและลำไส้ป้องกันการติดเชื้อ และด้วยตัวกล้วยดิบเองซึ่งมีฤทธิ์ในการลดกรดในกระเพาะ จึงเป็นยาทางธรรมชาติที่รักษาโรคกระเพาะที่ดีกว่ายาแผนปัจจุบันทั่วไป กล้วยดิบไม่สามารถรับประทานสดๆได้ วิธีการจึงต้องนำกล้วยมาฝานเป็นแว่นๆแล้วอบด้วยความร้อนต่ำไม่เกิน 50 องศา จนแห้งแล้วนำมาบดเป็นผง รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชา 3 ครั้งก่อนอาหาร โดยสามารถผสมกับน้ำผึ้งเพื่อให้รสชาติดีขึ้นง่ายต่อการรับประทาน
หรือกล้วยกึ่งดิบกึ่งสุก เปลือกภายนอกสีเหลืองแต่มีสีเขียวประปราย สามารถรับประทานได้สดๆ รสชาติไม่หวานจัดอาจติดรสฝาดเล็กน้อย กล้วยห่ามมีโพแทสเซียมสูง จึงให้ผลดีกับผู้มีอาการท้องเสียเนื่องจากผู้ป่วยจะสูญเสียโพแทสเซียมออกจากร่างกายมาก ซึ่งหากขาดมากอาจมีผลกระทบกับการเต้นของหัวใจ นอกจากนี้กล้วยห่ามยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ และเพิ่มกากใยในการขับถ่ายให้กับผู้ป่วย สารเซโรโทนินในกล้วยห่ามยังช่วยออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
สีเหลืองสด รสชาติอร่อยที่ปกติเราชอบรับประทานกัน ให้ผลตรงกันข้ามกับกล้วยห่าม เนื่องจากเป็นยาระบายอ่อนๆให้ผลดีกับคนที่มีอาการท้องผูก เพราะมีสารเพ็กตินอยู่มาก เพ็กตินเป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหารและที่สำคัญเป็นอาหารของแบ็คทีเรียในลำไส้ หรือ prebiotic ตามธรรมชาติ จึงช่วยในการขับถ่ายได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่มีอาการท้องผูกมากๆต้องรับประทานวันละ 5-6 ลูกเพื่อให้ได้ผลดี
กล้วยสุกจัดผิวคล้ำไม่สดสวย ที่หลายๆคนไม่ชอบรับประทาน แต่กลับให้ผลดีอย่างมากมายในการเพิ่มภูมิต้านทานโรคภัยต่างๆ เพราะช่วยเพิ่มเซลเม็ดเลือดขาว และมีสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งมีความสามารถในการต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ และยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ มีจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เกิดสารเสริมภูมิต้านทานนี้มากขึ้น การรับประทานกล้วยสุกจัดเป็นประจำวันละ 1-2 ลูกยังช่วยเสริมภูมคุ้มกันโรคหวัด
หน้าที่ 2 จาก 2